ตามที่เป็นข่าวในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดมาหลังจากที่ผู้อำนวยการ กลุ่มเกย์การเมืองไทย และผู้ประสานงานกลุ่มองค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศ ได้มายื่นหนังสือถึงแพทยสภาว่าได้มีการผ่าตัดลูกอัณฑะในเด็กตามสถานพยาบาลต่างๆในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ๆเช่น เชียงใหม่ จำนวนไม่น้อย.
สำนักงานเลขาธิการแพทยสภาได้รับเรื่องดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2551 และได้รีบทำการตรวจสอบหาแพทย์ที่ทำการผ่าตัดอัณฑะโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ในทันที ขณะเดียวกันทางกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ทำการตรวจสอบสถานพยาบาลต่างๆ และได้เข้าตรวจค้นคลินิก ที่สงสัยว่าจะมีการกระทำดังกล่าว และต่อมาได้ส่งข้อมูลผู้ป่วยรายหนึ่งมาให้แพทยสภาทราบ ซึ่งแพทยสภาก็ได้ดำเนินการให้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจริยธรรมของแพทย์ ผู้นั้นโดยทันที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาข้อมูลว่ามีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่เหมาะสมหรือไม่ และได้กระทำตามขั้นตอนของหลักวิชาการทางการแพทย์หรือไม่ ซึ่งถ้าหากพบว่ามีความผิดทางจริยธรรม (ซึ่งเป็นการพิจารณาที่มีระดับสูงกว่ากฎหมาย แม้บางครั้งไม่ผิดกฎหมาย ก็ผิดจริยธรรมได้) แพทย์ผู้นั้นก็จะต้องถูกลงโทษ ซึ่งมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม.
การตัดอัณฑะโดยปกติมีการทำผ่าตัดในโรงพยาบาลต่างๆ อยู่แล้ว ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของอัณฑะเอง หรือเป็นการผ่าตัดในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของต่อมลูกหมาก เพื่อลดฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง.
ส่วนการผ่าตัดอัณฑะในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคทางกายนั้น จะต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด เพราะจะมีผลกระทบอย่างมากตามมา เนื่องจากจะทำให้ขาดฮอร์โมนเพศชายอย่างกะทันหัน (ฮอร์โมนเพศชายร้อยละ 95 สร้างจากอัณฑะ) เช่น สูญเสียความรู้สึกทางเพศ จิตใจและร่างกายมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะของคนวัยทอง และถ้าหากยังเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี ก็จะมีผลกระทบมากเพราะร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เช่น กระดูกจะลดหรือหยุดความยาวทำให้ตัวไม่สูง กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ไม่มีอารมณ์เพศ และมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนปกติ.
เนื่องจากการตัดอัณฑะเป็นการทำให้สูญเสียความเป็นชาย ตัดไปแล้วไม่มีโอกาสนำมาใส่ใหม่ได้ ดังนั้นเกณฑ์การพิจารณาควรใช้หลักเดียวกับการผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งแพทยสภากำลังร่างข้อบังคับอยู่อย่างเร่งด่วน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า ควรจะทำในผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งควรจะต้องมีการประเมินจากจิตแพทย์ 2 คนขึ้นไป ว่ามีสภาพจิตใจที่เหมาะสมจริงๆ และมีการทดลองใช้ชีวิตเป็นเพศหญิงอย่างเต็มรูปแบบ ระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี แล้วมาประเมินใหม่ ถ้าเห็นสมควรจึงจะทำได้ ส่วนในกรณี ที่อายุระหว่าง 18-20 ปี อาจอนุโลมให้ทำได้ในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น โดยบิดา มารดา เป็นผู้ให้ความยินยอม และควรมีการประเมินจากจิตแพทย์ 3 คน ส่วนในอายุที่ต่ำกว่านั้น ยังไม่สมควรทำ.
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างให้สังคมได้ทราบถึง ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกตัดอัณฑะออก อย่าปล่อยให้มีการชักนำไปสู่การเป็นแฟชั่นอย่างผิดๆเช่นนี้อีกต่อไป ขณะนี้แพทยสภา กำลังเดินหน้าร่างกรอบให้แพทย์ได้ปฏิบัติอย่างเหมาะสม ส่วนการหาทางให้ประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กๆ ได้ทราบถึงอันตรายของการตัดอัณฑะ โดยไม่มีหลักการทางการแพทย์ที่เหมาะสมนั้น เป็นหน้าที่ของทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน.
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ.
น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิติเวชศาสตร์)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา
- อ่าน 2,406 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้