เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสพานักศึกษาแพทย์ไปฝึกปฏิบัติงานที่ตำบลลำพญากลาง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อเรียนรู้บทบาทของสถานีอนามัย องค์การบริหารส่วนตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีต่อการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน. ชุมชนลำพญากลางตั้งอยู่ในหุบเขา อยู่ห่างจากตัวอำเภอมวกเหล็ก 50 กม. และห่างจากอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30 กม. เมื่อเกิดการเจ็บป่วยรุนแรง ประชาชนนิยมไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลปากช่อง ซึ่งเดินทางเข้าถึงง่ายกว่า โรงพยาบาลมวกเหล็ก.
ตำบลนี้มีประชากร 11,000 คน ส่วนใหญ่ทำฟาร์มโคนมและทำการเกษตร. สถานีอนามัยลำพญากลางเป็นสถานีอนามัยเพียงแห่งเดียวของอำเภอนี้ที่ยกระดับเป็น "ศูนย์สุขภาพชุมชน" โดยมีพยาบาลเวชปฏิบัติจากโรงพยาบาลมวกเหล็กมาอยู่ประจำ และมีแพทย์ออกมาตรวจรักษาโรคเรื้อรังทุกวันพฤหัสบดี.
วันที่เราไปดูงานตรงกับวันพฤหัสบดี มีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง 50-60 คน มาพบแพทย์ตามนัด. ในวันนั้น มีอสม. 7-8 คนมาช่วยงานตามจุดต่างๆ เช่น ทำบัตร จ่ายยา ช่วยประสานงานทั่วไป.
ผู้ป่วยเบาหวานหลายคนมีค่าน้ำตาลในเลือดสูง พยาบาลและเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย ก็ได้ใช้เวลาอธิบาย แนะนำการปฏิบัติตัวต่างๆ มีผู้ป่วยที่มาขอทำแผลนิ้วเท้าที่ถูกตัดจากโรงพยาบาลปากช่องอยู่ 1-2 ราย.
นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยที่มีอาการสงสัยว่าเป็นโรคเกาต์ (ข้อหัวแม่เท้าอักเสบเฉียบพลัน) 1 ราย และเบาจืด (มีอาการปัสสาวะคืนละ 30 ครั้ง ผู้ป่วยถ่ายลงถังแกลลอนทั้งคืนได้เต็มแกลลอน 4-5 ลิตร ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดพบว่าปกติ) 1 ราย. ผมก็ถือโอกาสนำกรณีเหล่านี้มาใช้สอนนักศึกษาแพทย์ และนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลเวชปฏิบัติที่ติดตามไปด้วย.
ตกบ่ายก็ออกไปดูงานที่อบต. ซึ่งกรรมการอบต. และปลัดอบต. ก็ได้บรรยายสรุปถึง บทบาทหน้าที่ของอบต. ในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ สาธารณูปโภค และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุขของชุมชน. นอกจากการจัดสรรงบประมาณสำหรับการ ควบคุมโรคไข้เลือดออกแล้ว อบต.แห่งนี้ยังได้จัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จัดรถพยาบาล (ambulance) ไว้บริการส่งตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง จัดหาทุนช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งและคนพิการ. ทั้งนี้ได้ให้อสม. ผู้นำชุมชนและประชาชนมี ส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ และทำงานประสานกับสถานีอนามัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ.
หลังจากนั้น ก็ได้ไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอยู่ 4 ราย. รายที่ 1 เป็นผู้ป่วยชายอายุ 70 กว่า ปี ป่วยเป็นอัมพาตมา 4-5 ปี ขณะนี้อาการคงที่ สามารถพลิกตัวไปมา กินข้าว ปัสสาวะเองได้ แต่เวลาลุกนั่งต้องมีคนช่วยจับพยุง. ภรรยาและบุตรสาวซึ่งเป็นผู้คอยให้การดูแลได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการเจ็บป่วยและการแสวงหาบริการ ซึ่งมีการใช้บริการตั้งแต่ระดับสถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ และโรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งได้ลองใช้ยาหม้อของพระ การนวดของหมอจีน เป็นต้น. เนื่องจากบุตรหลายคนมีอาชีพการงานที่มีรายได้ดี จึงสามารถให้การสนับสนุนดูแลผู้ป่วยได้ค่อนข้างดี จนผู้ป่วยมีสุขภาพจิตดี แม้ว่าร่างกายจะพิการก็ตาม.
รายที่ 2 เป็นครอบครัวโรคจิตเภท พี่น้อง 2 คนป่วยเป็นโรคนี้ทั้งคู่ โดยมีประวัติว่าบิดา (ซึ่งเสียชีวิตแล้ว) และลุงเป็นโรคจิตเภท. ทั้งคู่มีมารดาที่ติดสุรา มีอาชีพเก็บผักขาย เป็นผู้ดูแล. ผู้ที่เป็นพี่ชายยอมกินยาจากโรงพยาบาลสระบุรี และนำยามาให้เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยฉีดเป็นประจำ จึงสามารถควบคุมอาการได้ และทำงานรับจ้างทั่วไปได้. ส่วนผู้ที่เป็นน้องชาย ไม่ยอมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และไม่ได้กินยารักษา ยังคงมีอาการเก็บตัว บางครั้งก็เอะอะ ทำร้ายมารดา. ปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการของน้องชาย จึงเป็นโจทย์ใหญ่ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไร. สภาพของครอบครัวนี้ไม่อาจพึ่งพาตนเองได้ ชุมชนและหน่วยงานต่างๆจะมีส่วนให้การดูแลกันอย่างไร.
ส่วนผู้ป่วยอีก 2 ราย เป็นผู้ป่วยมะเร็ง กำลังได้รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์. รายหนึ่งมีจิตใจเข้มแข็งจากการปฏิบัติธรรมมายาวนาน เมื่อป่วยเป็นมะเร็งก็ทำใจยอมรับ และดูแลตนเองจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี. ส่วนอีกรายมีความทุกข์ใจจากโรคมะเร็งอยู่นาน ในที่สุดเมื่อได้เข้าร่วมกิจกรรมมิตรภาพบำบัดที่โรงพยาบาลก็เริ่มทำใจยอมรับได้ดีขึ้น.
จากการได้สัมผัสเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ทำให้มองเห็นว่า สุขภาพของประชาชนจำเป็นต้องมีระบบการดูแลที่เข้มแข็งที่มีอยู่ในชุมชนเอง (เรียกว่า "ระบบสุขภาพชุมชน") ทั้งนี้ คงหนีไม่พ้นเป็นหน้าที่ของอบต. (อันเป็นองค์กรปกครองตนเองที่มาจากชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน) ในการเป็นแกนนำผลักดันและประสานให้เกิดระบบการดูแลสุขภาพที่ดีในชุมชนของตนเอง.
- อ่าน 3,584 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้