พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 23 สิงหาคม 2551 เป็นกฎหมายที่มีหลักการคุ้มครองผู้บริโภคจากการซื้อสินค้า หรือการรับบริการทุกชนิด ซึ่งจะรวมการให้บริการทางการแพทย์ด้วยหรือไม่นั้นยัง ไม่ได้ข้อยุติ เพราะยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ ซึ่งถ้ามีผลใช้บังคับด้วย ก็จะกระทบต่อโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงคลินิกต่างๆ ทุกประเภทอย่างรุนแรง เพราะ มีรายละเอียดที่เข้มข้นเกินกว่าการฟ้องคดีแพ่งมาก ตัวอย่างเช่น
มาตรา 13 บัญญัติไว้ว่า "ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายผู้บริโภค หรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องแทนผู้บริโภค ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย" จะเห็นได้ว่า เป็นการขยายอายุความที่ยาวนานมาก คือ ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย ซึ่งปกติคดีแพ่งทั่วๆไป กฎหมายจะกำหนดอายุความให้เป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้ และไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ได้กระทำการรักษา
มาตรา 18 เป็นเรื่องที่บัญญัติให้ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง ซึ่งปกติต้องเสียค่าขึ้นศาลร้อยละสองบาทห้าสิบสตางค์แต่ไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา 20 บัญญัติให้ฟ้องด้วยวาจาได้ ซึ่งโดยปกติในการฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายต่างๆ จะต้องทำเป็นเอกสารคำฟ้อง
มาตรา 29 กำหนดให้ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นหน้าที่ของฝ่ายผู้ถูกฟ้อง ซึ่งการฟ้องคดีแพ่งทั่วไป ภาระการพิสูจน์ส่วนใหญ่จะต้องเป็นของฝ่ายผู้ฟ้องคดี
มาตรา 39 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้สูงเกินกว่าที่โจทก์ฟ้องได้ ซึ่งตามปกติแล้วในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชดใช้เกินกว่าที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
มาตรา 40 กำหนดให้ศาลอาจสงวนสิทธิ์ ที่จะแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งได้อีก ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่เกินสิบปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งในการฟ้องคดีทั่วไป ศาลจะแก้ไขคำพิพากษาไม่ได้
มาตรา 42 ในกรณีที่ศาลเห็นว่าได้มีการกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภค โดยไม่เป็นธรรมหรือโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงศาลมีอำนาจลงโทษโดยการเพิ่มจำนวนค่าเสียหายได้ตามที่ศาลเห็นสมควรได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง แต่ถ้าวงเงินไม่เกินห้าหมื่นบาทเพิ่มได้ถึงห้าเท่า ซึ่งปกติการฟ้องร้องทั่วไปศาลจะพิพากษาให้จำเลยชดใช้เกินกว่าค่าเสียหายจริงไม่ได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า หากพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับกับโรงพยาบาลต่างๆทั้งของรัฐ และเอกชนรวมทั้งคลินิกประเภทต่างๆ โดยถือว่าเป็นการบริการประเภทหนึ่ง ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อวิชาชีพด้านสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะการประกอบวิชาชีพแพทย์นั้น เป็นการกระทำที่ต้องมีคุณธรรมจริยธรรมไม่ใช่เป็นการให้บริการที่มุ่งหวังกำไร โดยเราจะปฏิเสธการรักษาไม่ได้.
ขณะนี้แพทยสภากำลังดำเนินการเพื่อให้การประกอบวิชาชีพแพทย์และวิชาชีพด้านสุขภาพไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้ จะสำเร็จหรือไม่ผมจะรายงานให้ทราบต่อไป.
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ.
น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิติเวชศาสตร์)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา
- อ่าน 4,804 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้