Disclaimer : รายงานการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มีมากมายมหาศาล ในขณะนี้เป็นสิ่งที่ต้องติดตามเป็นอย่างยิ่ง คอลัมน์นี้ได้สรุปรายงานการศึกษาที่น่าสนใจที่ลงในวารสารทางการแพทย์ที่ผ่าน peer review มาให้สมาชิกทราบ แต่ข้อพึงระวังคือ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่มีการรายงานการศึกษาจะมีความถูกต้องเป็น สัจจะ เพราะไม่มีอะไรถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางการแพทย์ ความรู้ ความเชื่อ ณ วันนี้อาจได้การยอมรับ แต่ความรู้ใหม่ๆ ในวันหน้าก็สามารถลบล้างความรู้ ความเชื่อในวันนี้ได้เช่นกัน.
MgSO4 ป้องกัน cerebral palsy
Dwight J. Rouse et al. A Randomized, Controlled Trial of Magnesium Sulfate for the Prevention of Cerebral Palsy. N Engl J Med 2008; 359:895-905.
เด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงต่อภาวะ ผิดปกติทางระบบประสาท เช่น cerebral palsy (CP) ซึ่งแนวโน้มความชุกของความพิการนี้ยังไม่ลดลง เนื่องจากความสามารถทางการแพทย์ในการดูแลเด็กคลอดก่อนกำหนดดีขึ้น เด็กกลุ่มนี้จึงมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นกว่าอดีต. ก่อนหน้านี้มีการศึกษา case-control ในหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดก่อนกำหนดพบว่า กลุ่มที่มารดาคลอดเด็กที่ไม่มีภาวะ CP นั้นมีประวัติว่ามารดาได้รับ MgSO4 ในช่วงก่อนคลอด ทำให้เกิดสมมติฐานว่า MgSO4 อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อ CP ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด.
การทดลองร่วมกันของสถาบัน 20 แห่งในสหรัฐอเมริกา MgSO4 ทางหลอดเลือด 6 กรัม ตามด้วยการให้ทางหลอดเลือดอย่างต่อเนื่องขนาด 2 กรัมต่อชั่วโมงแก่สตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด (โดยให้อายุครรภ์ระหว่าง 24-31 สัปดาห์) พบว่าทารกของกลุ่มที่ได้ MgSO4 มีความเสี่ยงต่อภาวะ CP น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (1.9% vs. 3.5%, RR 0.55, 95% CI 0.32, 0.95) สำหรับความเสี่ยงต่อการตายของทารกนั้น ไม่มีความแตกต่างกันระหว่าง กลุ่มทั้งสอง (95%, vs. 8.5%, RR 1.12, 95%CI 0.85, 1.47) ไม่มีการเกิดเหตุเสียชีวิตของมารดาในการศึกษานี้.
ข้อสรุป ทารกที่มารดาได้รับ MgSO4 ก่อน ครบกำหนด ลดความเสี่ยงต่อ cerebral palsy เสียชีวิต.
ผลจากการศึกษานี้นำไปสู่คำถามว่าควรมีข้อแนะนำในการใช้ MgSO4 ในการป้องกันภาวะ cerebral palsy หรือไม่
บทบรรณาธิการในวารสารฉบับเดียวกันให้คำตอบว่า ไม่ จนกว่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้.
จริงหรือไม่ ยา psychotics เพิ่มความเสี่ยงต่อ stroke
Douglas IJ, et al. Exposure to antipsychotics and risk of stroke: self controlled case series study BMJ 2008; 337.
ก่อนหน้านี้มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยารักษาโรคจิต อาจเสี่ยงต่อการเกิด stroke มากขึ้น ประเทศอังกฤษ มีการเตือนให้หลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาโรคจิต ในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งคำเตือนนี้ยังมีผู้ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงมีการศึกษาดูความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาจิตเภทกับโรค stroke ในผู้ป่วยที่มีและไม่มี dementia โดยการศึกษาแบบ self controlled case series ในผู้ป่วยที่เคยเป็น stroke มาก่อน จากนั้นเปรียบเทียบอัตราการเกิด stroke ในผู้ป่วยคนเดียวกันระหว่างช่วงเวลาที่ใช้ยาและข่วงที่ไม่ได้ใช้ยารักษาโรคจิต ซึ่งแบ่งเป็นยาประเภท typical (ได้แก่ phenothiazine, butyrophenone, thioxanthine, sulpiride) และ atypical (ได้แก่ risperidone, olanzapine amisulpride, quetiapine) จากจำนวนผู้ป่วยในฐานข้อมูล มี 6760 คนที่เคยมีประวัติเป็น stroke มาก่อน และเคยได้รับยารักษาโรคจิต มาอย่างน้อย 1 ครั้ง.
ผลการศึกษา พบว่าในช่วงที่มีการใช้ antipsychotic ชนิดใดๆ มีความเสี่ยงต่อ stroke 1.73 เท่า (9%% CI 1.60, 1.87) โดยยา typical มีอัตราเสี่ยง 1.69 (1.55, 1.84) เท่าของขณะไม่ใช้ยา. ส่วนยา atypical มีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2.32 (1.73, 3.10) เท่า. การใช้ยาในคนที่มีความจำเสื่อมมีความเสี่ยงมากกว่ากว่าคนความจำปกติ โดยผู้ที่มีโรคความจำเสื่อม มีความเสี่ยงต่อ stroke 3.5 เท่า (95%CI 2.97 เท่า) ส่วนคนที่ไม่มีความจำเสื่อม มีความเสี่ยงต่อ stroke 1.4 เท่า (95%CI 1.29, 1.55 เท่า).
ข้อสรุป การใช้ยา antipsychotic เพิ่มความเสี่ยงต่อ stroke พวกที่ได้ atypical antipsychotic มีความเสี่ยงมากกว่า typical antipsychotic และ คนที่มี dementia จะมีความเสี่ยงมากกว่าพวกที่ไม่มี dementia.
การศึกษานี้เปรียบเทียบการเกิดเหตุในคนเดียวกันแต่ ข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นคือ พฤติกรรมของผู้ป่วย (โดยเฉพาะคนที่มีภาวะสมองเสื่อม) ที่ได้รับยาโรคจิต อาจเกี่ยวข้องกับภาวะ stroke ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ป่วยถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะทางจิตและได้ยา และภายหลังมีอาการทาง stroke ชัดเจน จึงถูกสรุปว่าเกิดจากยา. นอกจากนี้ ในช่วงที่ผู้ป่วยไม่ได้ยารักษาโรคจิต มีการเกิด stroke น้อยอาจเป็นเพราะภายหลังจากที่ผู้ป่วย มี stroke แล้ว มีโอกาสที่แพทย์มักจะหยุดยา ดังนั้นจากผลการศึกษาชิ้นนี้จึงยังไม่อาจสรุปได้ว่า การกิน antipsychotic ทำให้เสี่ยงต่อภาวะ stroke.
วิชัย เอกพลากร พ.บ., Ph.D.
รองศาสตราจารย์, ศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 6,237 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้