เรื่องฮือฮาที่ส่งท้ายปี 2549 คงหนีไม่พ้นการวิพากษ์เกี่ยวกับประกาศ "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" ของแพทยสภาซึ่งต้องการสื่อสารให้สาธารณชนทราบถึงธรรมชาติของการเจ็บป่วย แนวทางการดูแลรักษาโรค บทบาทของผู้ป่วยและแพทย์ในการดูแลรักษาโรค รวมทั้งข้อจำกัดของแพทย์ในการให้การบำบัดรักษาผู้ป่วย ซึ่งบางครั้งอาจไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ป่วยและญาติได้.
หากแต่ประกาศนั้นขาดการประชาสัมพันธ์อย่างเหมาะสม และมีคำบางคำที่อาจทำให้คนทั่วไปอ่านแล้วเกิดความสับสน โดยเฉพาะคำว่า "ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน" ได้ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชน โดยมีตัวแทนจากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคและเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ออกมาคัดค้าน อย่างรุนแรง.
ความจริงถ้าได้อ่านประกาศ "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" ทั้ง 9 ข้ออย่างละเอียดและด้วยใจเป็นกลาง ก็ย่อมเข้าใจในเจตนารมณ์ของแพทยสภาที่มีความประสงค์ให้ผู้ป่วยเข้าใจแพทย์ดีขึ้น และให้ความร่วมมือในการดูแลรักษาโรคได้ดียิ่งขึ้น (แนะนำให้อ่านบทความเรื่อง "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" ของศาสตราภิชาน พินิจ กุลละวณิชย์ ในฉบับนี้)
ทำไมเจตนาดีจึงกลายเป็นเจตนาร้ายไปเสียเล่า.
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่าง ความไม่เข้าใจกันและความขัดแย้งที่นับวันจะรุนแรงขึ้น ระหว่างวิชาชีพแพทย์กับสาธารณชนที่ค่อยๆ สั่งสมมาเป็นลำดับ ซึ่งปะทุออกมาเป็นคดีฟ้องร้องแพทย์ที่เกิดถี่ขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา.
กรรมการแพทยสภาอาวุโสหลายท่านที่ผมเคารพนับถือต่างก็บ่นว่า ในปัจจุบันแพทยสภาได้ตกเป็นจำเลยทั้งของแพทย์และประชาชน. แพทย์จำนวนไม่น้อยกล่าวหาว่า แพทยสภาชอบจับผิดแพทย์ด้วยกันเอง ในขณะที่ประชาชนบางส่วนก็เริ่มกล่าวหาว่าแพทยสภาชอบปกป้องแพทย์ด้วยกันเอง จึงขาดศรัทธาต่อแพทยสภา และเรียกร้องให้มีองค์กรใหม่ที่เป็นกลาง.
ความจริงแพทยสภาเป็นสถาบันวิชาชีพที่ทำหน้าที่ดูแลกำกับมาตรฐานการผลิตแพทย์ และการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ทั่วประเทศให้มีมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ซึ่งเท่ากับเป็นการปกป้องคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกกระทำจากแพทย์ที่ขาดจรรยาบรรณหรือเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค. ในปีหนึ่งๆ แพทยสภาได้มีการลงโทษแพทย์ที่กระทำผิดต่อจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพแพทย์อยู่นับจำนวนไม่น้อย แต่เป็นการลงโทษทางจริยธรรมโดยการว่ากล่าวตักเตือน จนถึงการพักและเพิกถอนใบประกอบโรคศิลปะ ไม่ใช่การลงโทษทางแพ่งหรืออาญา. คดีเหล่านี้มักจะไม่ปรากฏเป็นข่าวให้สาธารณชนรับทราบ. ตรงกันข้าม มีหลายกรณีนี้ที่ผู้เสียหายร้องเรียนแพทยสภา ซึ่งแพทยสภาพิจารณาแล้วว่าไม่มีมูลความผิด แต่เมื่อฟ้องศาล ศาลตัดสินให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจ่ายเงินชดเชยความเสียหายแก่โจทย์ ! ก็ทำให้เข้าใจว่าแพทยสภาปกป้องแพทย์. ผู้เสียหายบางส่วนจึงหันมาพึ่งศาลมากกว่าแพทยสภา.
แพทย์จำนวนมากรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นช่องว่างและความขัดแย้งระหว่างวิชาชีพแพทย์กับสาธารณชนที่คล้ายว่ากำลังจะพัฒนาไปสู่การเผชิญหน้ากัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่ายอย่างแน่นอน.
กรรมการแพทยสภาชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ น่าจะได้เปิดกว้างรับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของมวลสมาชิกและสาธารณชน เพื่อจะได้หาทางลดช่องว่างและความขัดแย้งดังกล่าว และฟื้นบรรยากาศความสมานฉันท์และเกื้อกูลกัน โดยการจัดเวทีพูดคุยสื่อสารกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง. แม้กับฝ่ายศาลที่ทำหน้าที่ตัดสินคดีฟ้องร้องแพทย์ ก็ควรจะพูดคุยกันเพื่อจัดหามาตรการในการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้อาจศึกษาจากมาตรฐานการดำเนินการของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย.
ในขณะเดียวกัน แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและสถานพยาบาล ควรหาทางลดช่องว่างและความ ขัดแย้งกับผู้ป่วยและญาติ โดยก่อนอื่นต้องยอมรับการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของสังคม (ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม) หมั่นทบทวนและพัฒนามาตรฐานและคุณภาพบริการ หาทางลดความเสี่ยงและป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นอย่างจริงจัง พัฒนากลไกในการสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับรู้ความไม่พึงพอใจของผู้รับบริการและไวต่อการแก้ปัญหาด้วยความจริงใจและโปร่งใส.
ท้ายที่สุดนี้ ขออวยพรให้พวกเรามีความสุขความเจริญตลอดปี 2550 จงมีกำลังใจเข้มแข็งและสติปัญญาสมบูรณ์ในการแปรวิกฤติให้เป็นโอกาส!
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้