Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » ในอุ้งมือหมอ occ med
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ในอุ้งมือหมอ occ med

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 มกราคม 2550 00:00

สวัสดีปีกุนแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ปีมหามงคลนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีแรงกายและแรงใจทำงานรับใช้ชาติกันไปตามความถนัด เมื่อใดที่ท่านทำกิจที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมขอให้ "หมู" สมกับชื่อปี และขอให้ท่านมีสุขภาพที่ดี อย่างน้อยในระดับสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปตลอดปีเช่นกัน.

หลายครั้งที่ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจหรือวัตถุดิบในการเขียนบทความจากน้องๆ แพทย์ประจำบ้าน1 ที่มาฝึกงาน น้องรุ่นล่าสุดได้ตั้งคำถามไว้ว่า "อาจารย์ครับ มีสักครั้งหรือเปล่าครับที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ได้ดูแลผู้ป่วยโรคจากการทำงานแบบครบวงจร ผมเรียนมาเกือบ 3 ปี ผมไม่เคยเห็นจริงๆ สักที อยากเห็นสักครั้ง จะได้จำไว้ให้ติดตาครับ". คำถามของน้องคนนี้สะท้อนให้เห็นว่าแพทย์อาชีวเวชศาสตร์นั้น แทบจะไม่มีตัวตน แม้แต่สำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่ 

                                                     

                                   ภาพที่ 1. ภาพถ่ายรังสีช่องอกของผู้ป่วย วันที่ 20 มกราคม 2549.


ดังนั้น อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์ฉบับนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาที่แสดงให้น้องและท่านผู้อ่านได้เห็นว่าแพทย์อาชีวเวชศาสตร์สามารถมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลให้กับผู้ป่วยได้มากเพียงใด.

กลางดึกคืนหนึ่ง
เวลาประมาณ 1.00 น. กลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 ชายไทย อายุ 42 ปี ไปที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่ง ด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมา 1 วัน แพทย์เวรบันทึกการตรวจร่างกายไว้ในบัตรผู้ป่วยนอกว่า อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ความดันโลหิต 160/100 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 90 ครั้งต่อนาที. ผลการตรวจหน้าท้อง soft, flat abdomen, generalized tender, no guarding ให้การวินิจฉัยว่าเป็น recurrent abdominal pain caused ? และให้ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวที่แผนกอายุรกรรมของโรงพยาบาล.


                                                        
                         ภาพที่ 2.
ภาพถ่ายรังสีช่องท้องของผู้ป่วย (ท่านอน) วันที่ 21 มกราคม 2549.


                                                        
                       ภาพที่ 3. ภาพถ่ายรังสีช่องท้องของผู้ป่วย (ท่านั่ง) วันที่ 21 มกราคม 2549.

แพทย์เวรใน ซึ่งเป็นกุมารแพทย์ มาตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วยเวลาประมาณ 2.30 น. ให้การรักษาประกอบด้วย งดอาหารและน้ำ (NPO), 5% D/N/2 100 cc IV 60 cc/hr, antacid 2 ช้อนโต๊ะ 4 เวลา ก่อนอาหาร, motilium 1 เม็ด 3 เวลา ก่อนอาหาร, ranitidine 1 เม็ด 2 เวลา หลังอาหาร, tramol 1 เม็ด 3 เวลา หลังอาหารและ omeprazole 40 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือด วันละครั้ง พยาบาลระบุผลการรักษาว่าผู้ป่วยนอนหลับพักได้จนถึงเช้า.

วันที่ 2
เช้าวันต่อมา แพทย์ฝึกหัด (intern) ประจำหอผู้ป่วยอายุรกรรมมาตรวจเยี่ยมอาการ สั่งการรักษาเพิ่มเติม คือ ให้ packed red cell จำนวน 2 units (hematocrit 27%) ส่งไปถ่ายภาพรังสีช่องท้องและปรึกษาแพทย์เวรศัลยกรรม. ต่อมา อายุรแพทย์ประจำหอผู้ป่วยมาทบทวนการรักษา ให้หยุดยา ranitidine และเห็นด้วยกับการปรึกษาศัลยแพทย์

เวลาประมาณ 10.00 น. ศัลยแพทย์มาตรวจผู้ป่วย ผลภาพถ่ายรังสีช่องอกและช่องท้อง ดังแสดงในภาพที่ 1-3 ศัลยแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็น peritonitis r/o PU perforate ให้การรักษาโดยเตรียมผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดเพื่อทำ Explore laparatomy ปรับน้ำเกลือเป็น Acetar 1,000 cc free flow ให้ ยา metronidazole 500 mg IV stat และ cef-3 2 m IV stat.

ศัลยแพทย์เริ่มผ่าตัดเวลา 11.30 น. โดยเปิดหน้าท้องแบบ Low midline incision ผลการตรวจภายในช่องท้องพบว่า ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ no fluid, no sign of inflammation, normal appendix แพทย์จึงทำ appendectomy ไม่ได้ล้างช่องท้อง แล้วเย็บปิดผิวหนัง. หลังการผ่าตัดให้การรักษาด้วย งดอาหารและน้ำ, acetar 1000 cc 120 cc/hr 3 ขวด, pethidine 30 mg ทุก 4 ชั่วโมง และ plasil 10 mg IV ทุก 8 ชั่วโมง.

วันที่ 3
เวลา 11.30 น. เช้าวันที่ 3 ของการอยู่โรงพยาบาล ศัลยแพทย์มาตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี เจ็บแผลผ่าตัด อาการปวดท้องทุเลาลง. แพทย์ให้การรักษาโดย off Foley, ให้จิบน้ำ, 5% D/N/2 1,000 cc 100/min 3 ขวด, pethidine และ plasil คงไว้เช่นเดิม. ขณะเดียวกันนั้น พยาบาลเวรรายงานว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ช่วงกลางดึกจนถึงเช้า (เวลา 2.00 น. 160/90 มิลลิเมตรปรอท, 6.00 น. 160/90 มิลลิเมตรปรอท และ 10.00 น. 180/110 มิลลิเมตรปรอท) แพทย์จึงให้ยา HCTZ รับประทานครั้งละ 1 เม็ดเมื่อความดันโลหิตขึ้นสูง, paracetamol 2 เม็ดถ้ามีอาการปวดแผลมากและ idarac รับประทานครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลา.

เวลา 18.40 น. ผู้ป่วยชักเกร็งทั้งตัว ตาค้าง ประมาณ 50 วินาที พยาบาลรายงานแพทย์เวรศัลยกรรม แพทย์สั่งการรักษาทางโทรศัพท์ ให้ valium 10 mg IV stat, เจาะเลือดส่งตรวจ calcium, BUN, Cr, CBC และ electrolyte หลังให้ยากันชัก ผู้ป่วยสงบลง พักผ่อนได้ ผลตรวจห้องปฏิบัติการ hematocrit 25%, hemoglobin 7 g/dl, platetet count 344,000/ul, white blood count 13,900/ul, neutrophil 64%, lymphocyte 24%, blood calcium 9.4 mg/dl, BUN 29 mg/dl, creatinine 1.8 mg/dl, sodium 135 mEq/L, chloride 100 mEq/L, potassium 3.9 mEq/L และ bicarbornate (HCO3) 14 mEq/L.

เวลา 20.30 น. ศัลยแพทย์มาตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วย ให้การรักษาด้วย 7.5% NaHCO3 100 cc IV drip ใน 2 ชั่วโมง, Bco 1 amp IV stat, 5%D/N/2 1000 cc, packed red cell 2 units 60 cc/hr, ativan (0.5 mg) ครั้งละ 1 เม็ด 2 เวลา, atenolol วันละ 1 เม็ด หลังอาหาร ถ้ามีอาการชักเกร็งให้ haldol 5 mg IV ทุก 4 ชั่วโมง ผู้ป่วยพักผ่อนได้ ความดันโลหิต ณ เวลา 22.00 น.เท่ากับ 170/100 มิลลิเมตรปรอท.

วันที่ 4
ศัลยแพทย์ตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วยตอนเช้า ไม่มีอาการชักอีก รู้สึกตัวดี hemotocrit หลังให้เลือดเพิ่มจาก 27% เป็น 29%แพทย์ให้เริ่มกินอาหารอ่อน การรักษาอื่นคงเดิม เวลา 15.45 น. ผู้ป่วยมีอาการชักเกร็งเป็นเวลา 5 นาที แพทย์ฝึกหัดประจำหอผู้ป่วยสั่งการรักษาด้วย valium 10 mg IV stat และ haldol 1 gm IV stat ผู้ป่วยสงบลงได้.

เวลา 19.30 น. พยาบาลวัดความดันโลหิตได้ 172/115 มิลลิเมตรปรอท รายงานศัลยแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ให้กิน atenolol และ HCTZ อย่างละ 1 เม็ด ต่อมาเวลา 23.50 น. ความดันโลหิตขึ้นเป็น 190/127 มิลลิเมตรปรอท แพทย์ฝึกหัดให้กิน adalat 10 mg 1 เม็ด พยาบาลสังเกตว่าผู้ป่วยยังค่อนข้างกระสับกระส่ายหลังให้ยา.

เวลา 2.40 น. ผู้ป่วยมีอาการชักเกร็ง 10 วินาที แพทย์ฝึกหัดให้ haldol 1 gm IV stat อีกไม่กี่นาทีหลังให้ยา (เวลา 3.10 น.) ผู้ป่วยชักเกร็งจนแขนขากระตุกนาน 10 วินาที แพทย์ฝึกหัดให้ฉีด valium 10 mg IV stat ผู้ป่วยจึงสงบลง หยุดชักและนอนหลับได้จนถึงเช้า.


                                         
                           ภาพที่ 4.
ภาพถ่ายรังสี (CT brain) ของผู้ป่วย วันที่ 23 มกราคม 2549.

วันที่ 5
เช้าวันต่อมาศัลยแพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ฝึกหัดมาตรวจเยี่ยม ให้ผู้ป่วยงดอาหารและน้ำ ส่งปรึกษาแพทย์แผนกอายุรกรรม โดยแพทย์คิดว่าการชักของผู้ป่วยอาจเกิดจาก 1) r/o intracranial cause 2) toxic substance induced หรือ 3) ความดันโลหิตสูง.

เวลา 11.00 น.อายุรแพทย์มาตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วย สั่งทำ CT brain ภาพถ่ายรังสีดังปรากฏในภาพที่ 4 รังสีแพทย์อ่านผลว่า "mild edema in basal part of brain, no focal lesion, hemorrhage or space-occupying lesion".

ณ ตอนนี้ ท่านผู้อ่านคิดว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร? ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ในฉบับต่อไป.
 
รุ่งศรี ศรีตระกูล พย.บ., กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม
โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.
DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม,
กรมควบคุมโรค,กระทรวงสาธารณสุข E-mail address : [email protected]<

ป้ายคำ:
  • กรณีศึกษา
  • คุยสุขภาพ
  • อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
  • พญ.รุ่งศรี ศรีตระกูล
  • พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
  • อ่าน 6,075 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

265-009
วารสารคลินิก 265
มกราคม 2550
อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
พญ.รุ่งศรี ศรีตระกูล
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <