ลุงสมาน ชายไทยอายุ 56 ปี มาพบคุณหมอวรวุฒิแต่เช้า ด้วยอาการเมื่อยๆ รู้สึกเหมือนไม่มีแรง.
ยังไม่ทันจะได้ซักประวัติกันเลย คุณหมอวรวุฒิก็แทบจะวินิจฉัยได้แล้วว่าลุงสมานเป็นอะไร เพราะอาการที่เดินโซซัดโซเซของลุง กับกลิ่นเหล้าที่เหม็นคละคลุ้งที่โชยมา บอกให้รู้ว่าคุณลุงแกดื่มเหล้ามาจนได้ที่
'เป็นยังไงล่ะลุง" คุณหมอเบือนหน้าหนี เพราะเริ่มจะรู้สึกเมาตามไปด้วย
"ไม่มีแรงครับ" ลุงสมานตอบเสียงอ้อแอ้ "มันเปลี้ยไปหมดทั้งตัว"
"ก็ดื่มเหล้าเสียขนาดนี้ จะมีแรงได้ยังไงกัน" หมออดประชดไม่ได้ เพราะรู้สึกไม่ชอบเลยที่เห็นคนไข้แบบนี้เดินเข้ามาหา
"ปกติผมก็ไม่ค่อยดื่มหรอกครับ นี่เพื่อนมันชวนเลยเสียไม่ได้" คุณลุงพยายามหาข้อแก้ตัว
"ปกติไม่ดื่มน่ะ ดื่มอาทิตย์ละกี่ขวด" หมอถามข้อมูลเพื่อนำมาช่วยวิเคราะห์โรค
"สองหรือสามนี่ละครับ" ลุงแกว่า
"ดื่มอาทิตย์ละสองหรือสามขวดนะ" หมอทวนคำตอบของคุณลุง ก่อนจะจดลงไป
"เปล่าครับ" คุณลุงยิ้มเผล่ "วันละสองสามขวดครับ บางวันก็ดื่ม บางวันก็ไม่ดื่ม"
"อ้าวตกลงยังไงแน่" คุณหมอวรวุฒิเริ่มหงุดหงิด
"ก็แล้วแต่ล่ะหมอ มีเงินก็ดื่ม ไม่มีเงินก็ไม่ดื่ม" คุณลุงเริ่มตอบไม่ค่อยจะตรงคำถาม "วันไหนไม่ดื่มก็มีแรงทำงาน ดื่มมากๆ ก็ไม่มีแรง ไม่รู้จะทำยังไงดี เลยมาหาหมอให้รักษานี่ไงครับ"
"ถ้าจะให้หมอรักษา ลุงก็ต้องเลิกเหล้า ยังเมาอย่างนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหมนะ" หมอวรวุฒิเอ็ดเอา เพราะรู้แล้วว่าปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหล้าที่ลุงสมานดื่มนั่นเอง เหล้าน่ะไม่ดี กินไปทำไมกันลุง เลิกดื่มเถอะ กินไปเดี๋ยวก็เป็นโรคอื่นๆตามมา โรคตับ โรคหัวใจ...เข้าใจไหมลุง...อ้าว...หลับไปแล้ว..."
คุณหมอวรวุฒิเกาศีรษะด้วยความอ่อนใจ เพราะยังพูดกันไม่ทันรู้เรื่อง คนไข้ก็คอพับหลับไปเสียแล้ว.
................................
เหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงบุหรี่ เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง
น่าแปลกไหมครับ...ขณะที่รัฐมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดประเภทยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี แต่เครื่องดื่มที่เป็นสารเสพติดแบบเหล้า ไวน์ และบุหรี่กลับกลายเป็นสารเสพติดที่อนุญาตให้ขายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย.
น่าแปลกไหมครับ...ที่บางกระทรวงรณรงค์ให้คนไทยเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ แต่บางกระทรวงกลับเร่งผลิตทั้งสุราและบุหรี่ ถึงสิ้นปีก็มีโบนัสมีกำไรมากมาย.
เอาละครับ ชักจะไปไกลแล้ว กลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า
ในชีวิตความเป็นแพทย์ ผมเชื่อว่าหมอแทบทุกคนต้องเคยพบกับคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องการดื่มเหล้า ไม่ว่าจะเป็นที่หอผู้ป่วยใน หรือที่ตึกตรวจโรคผู้ป่วยนอก
บางคนดื่มมาก บางคนดื่มน้อย บางคนดื่มตามงานสังคมต่างๆ.
เราเรียนรู้มาว่า การดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากๆ นั้น ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเลย ยิ่งถ้าดื่มจนติดแล้วด้วยยิ่งแย่ใหญ่ หมอส่วนมากเมื่อพบคนไข้กลุ่มนี้ ก็จะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องทำให้เขาเลิกดื่มให้ได้ แต่คุณหมอก็รู้ว่าเอาเข้าจริงการ จะให้คนไข้คนหนึ่งเลิกดื่มเหล้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด.
นอกจากนี้ ทางการแพทย์เองก็ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องนิยามของการดื่มเหล้าอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นต้นว่า ดื่มแค่ไหนถึงจะไม่ใช่โรค ดื่มวันละแก้ว สองแก้ว แต่ต้องดื่มทุกวัน ถือว่าเป็น alcoholism หรือไม่ เป็นต้น.
แต่ถึงแม้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในความเป็นแพทย์แต่เราคงต้องเดินหน้ากันต่อไปนะครับ เพราะเหล้าเป็นปัจจัยเสี่ยงตัวฉกาจที่สร้างปัญหาอื่นๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพกาย, สุขภาพใจ, สุขภาพจิตวิญญาณ ไปจนถึงเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ.
ถึงตรงนี้ คุณหมออาจจะเริ่มต้นสงสัยว่า แล้วเราควรจะเริ่มคุยกับคนไข้ที่ชอบดื่มเหล้าเมื่อใดถึงจะเหมาะสม เพราะถ้าคนไข้ดื่มนิดหน่อยเพื่อสังคม คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดกับเขา.
ผมขอแนะนำให้พิจารณาจากการใช้คำถามชุด CAGE เป็นเครื่องประเมินในเบื้องต้น1 ครับ คำถามชุดนี้เป็นคำถามสั้นๆ 4 ข้อ ที่เป็นมาตรฐานช่วยประเมินสภาวะการดื่มของคนไข้ ซึ่งจะช่วยแพทย์ได้มากในการดูแลคนไข้คนนั้น.
กว่าจะอ่านมาถึงหน้านี้ คุณหมอคงพอจะเคยได้ยินคำถาม CAGE มาบ้างแล้ว ผมขอทบทวนสั้นๆดังนี้ครับ
C = Cutting Down ถามว่าคนรอบข้างหรือตัวคุณเองเคยบอกตัวเองให้ลดการดื่มลงบ้างหรือไม่.
A = Angry เวลามีคนถามคุณเรื่องการดื่มเหล้า คุณรู้สึกโมโหหรือเปล่าหรือสังเกตว่าคนรอบข้างโกรธเวลาที่คุณดื่มเหล้าบ่อยๆ หรือไม่.
G = Guilty คุณเคยรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดบ้างไหมเวลาดื่มเหล้า เคยทำอะไรลงไปเวลาเมาแล้ว. มานั่งเสียใจภายหลังหรือเปล่า เคยถูกตำรวจจับ เคยมีเรื่องวิวาทชกต่อย ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเวลาเมาเหล้าหรือไม่.
E = Eye-Opener คุณดื่มเหล้าทันทีที่ลืมตาตื่นเลยหรือเปล่า.
ถ้าถามไป 4 คำถาม แล้วคนไข้ตอบว่าใช่หมดเลยทั้ง 4 ข้อ ก็คงถึงเวลาแล้วละครับ ที่คุณหมอจะต้องเริ่มคุยเพื่อให้คนไข้เลิกดื่ม.
ถ้าคุณหมอรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดเรื่องการดื่มเหล้ากับคนไข้ ผมแนะนำวิธีการง่ายๆดังนี้ครับ
1. คุณหมอพยายามเพิ่มหัวข้อการสนทนาเรื่องดื่มเหล้าเข้าไปทุกครั้งเมื่อพูดคุยซักประวัติคนไข้ พยายามคุยกับทุกรายไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น หรือคนไข้ผู้หญิง เพราะปัจจุบันนี้สถิติวัยรุ่นและผู้หญิงที่ดื่มเหล้าก็มีมากไม่แพ้ผู้ชายนะครับ.2
การถามคำถามเรื่องการดื่มเหล้าและถ้าพบว่าคนไข้ของเราดื่ม ก็ถามต่อด้วยชุดคำถาม CAGE ให้เป็นนิสัยในการซักประวัติ จะช่วยให้คุณหมอเคยชิน ไม่รู้สึกเคอะเขินเมื่อต้องพูดถึงเรื่องเหล้ากับคนไข้ รวมถึงช่วยประเมินปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของคนไข้ได้เป็นอย่างดีครับ.
2. ถ้าคุณหมอวรวุฒิได้ลองถามลุงสมานด้วยคำถาม CAGE ก็จะพบว่าคุณลุงสมานตอบ "ใช่ครับ" ครบหมดทั้ง 4 ข้อ
ทุกคนรอบข้าง มักจะบอกให้ลุงสมานเลิกดื่มเสมอ.
พอบอกมากๆ เข้า ลุงก็เริ่มเกิดอาการโมโหขว้างปาแก้วเหล้าและข้าวของในบ้าน.
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แกหงุดหงิดมาก ถึงขนาดเอามีดไล่แทงภรรยา ตอนนี้ทางบ้านเริ่มมีปัญหาหนี้สินเงินทองไม่พอใช้.
ตอนที่หายเมา คุณลุงรู้สึกเสียใจที่ทำตัวแบบนั้น
ขั้นตอนต่อมา คุณหมอวรวุฒิควรใช้เทคนิคกระจกเงา เพื่อสะท้อนปัญหาให้คุณ ลุงสมานได้เห็น ด้วยการย้อนกลับไปถามว่า
"คุณลุงเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดื่มเหล้าแล้วใช่ไหมครับ"
ถามแล้วปล่อยเวลาให้คนไข้ได้คิดสักพัก ก่อนจะถามต่อไปด้วยประโยคสำคัญว่า
"คุณลุงคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเลิกดื่มเหล้าแล้วหรือยัง".
3. คำตอบที่จะได้รับจากคำถามในข้อ 2 จะทำให้คุณหมอประเมินได้ว่า คนไข้พร้อมจะเลิกเหล้าจริงๆ หรือไม่
ถ้าคนไข้ตอบว่า ยังไม่ถึงเวลา ผมจะดื่มต่อก็อย่าไปโกรธเขาล่ะครับ.
คนไข้อาจจะยังรู้สึกต่อต้านอยู่ก็เป็นได้ อาจจะให้เวลากับคนไข้ นัดแนะให้เขากลับมาคุยอีกในสัปดาห์ถัดไปนะครับ.
ถ้าคนไข้เห็นด้วยว่า การดื่มเหล้าส่งผลร้ายกับชีวิตของเขามากมายหลายประการ และเขาอยากจะเลิกดื่ม คุณหมอควรคุยให้คนไข้ลองมองว่าหากเลิกเหล้าได้สำเร็จ สิ่งดีที่จะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง...ตรงนี้คุณหมอต้องให้คนไข้คิดเองนะครับ เราอย่าไปตอบแทนคนไข้ เพราะสิ่งที่คนไข้คิดจะเป็นเป้าประสงค์ให้คนไข้คนนั้นเกิดความมุ่งมั่นที่จะเลิกเหล้าให้สำเร็จ.
เคล็ดลับที่สำคัญมากประการหนึ่งคือ พยายามอย่าให้คนไข้คิดว่าเลิกเหล้าเพื่อลูก เลิกเหล้าเพื่อสามี เพื่อภรรยา หรือเพื่อใคร เพราะถ้าวันหนึ่ง คนเหล่านั้นทำให้คนไข้ผิดหวังขึ้นมา คนไข้ก็จะกลับมาดื่มได้อีก...คนไข้ควรมีความมุ่งมั่นที่จะเลิกเพื่อตัวเองครับ.
คนไข้หลายคนอยากเลิกเหล้าแต่ไม่มั่นใจ บางคนเคยลองหยุดเองแล้วเกิดอาการถอนเหล้า (withdrawal) ขึ้นมา เพราะฉะนั้นหมอจึงมีหน้าที่ให้ความมั่นใจ (reassurance) กับคนไข้ว่าจะช่วยอย่างเต็มที่.
4. เป็นแหล่งข้อมูลให้กับคนไข้ในทุกเรื่อง คิดวางแผนเลิกดื่มเหล้าร่วมกันกับคนไข้ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลการตรวจร่างกายและผลทางห้องปฏิบัติการให้คนไข้ทราบ เช่น เอนไซม์ตับที่ขึ้นสูง ผลอัลตราซาวนด์ เป็นต้น ผลต่างๆ เหล่านี้ ช่วยแสดงให้คนไข้ได้เห็นว่าการดื่มเหล้าทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยน แปลงไปในทางลบอย่างไรบ้าง.
เมื่อคนไข้เลิกเหล้าได้แล้ว เปรียบเทียบผลก่อนและหลังจากการเลิกดื่มเหล้าให้คนไข้ได้เห็นด้วยตัวเอง ผลการตรวจร่างกายและผลทางห้องปฏิบัติการที่ดีขึ้นจะเป็นรางวัลสำคัญสำหรับคนไข้ครับ.
5. หากคนไข้เริ่มเลิกเหล้า แล้วเกิดมีอาการถอนเหล้าขึ้น ก็ให้รักษาไปตามอาการ รวมทั้งให้กำลังใจแก่คนไข้ครับ.
หากคุณหมอไม่มั่นใจ ดูแลอาการถอนเหล้าเองไม่ได้ อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อขอความช่วยเหลือ และให้ยาช่วยควบคุมอาการครับ.
6. เยี่ยมบ้าน เป็นขั้นตอนสำคัญหนึ่งที่จะช่วยให้คุณหมอประเมินคนไข้และครอบครัวได้เป็นอย่างดี บางครั้งเราอาจพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การที่คนไข้บางคนเลิกเหล้าไม่สำเร็จ เป็นเพราะบ้านของเขาเองขายเหล้า เป็นต้น.
การเยี่ยมบ้านยังจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอและคนไข้ดีขึ้น คนไข้จะรู้สึกว่าคุณหมอคอยดูแลเขาอยู่ในทุกมิติ ไม่เฉพาะแต่ในโรงพยาบาลอีกด้วยครับ.
7. คิดในแง่บวกเสมอ อย่านำเอาความหดหู่ของคนไข้มาทำให้ตัวคุณหมอเองหดหู่ หากการช่วยให้คนไข้เลิกเหล้าเกิดล้มเหลว คนไข้กลับไปดื่มเหมือนเดิม อย่าโกรธคนไข้ อย่าโกรธตัวเอง ขอให้พยายามเข้าใจว่าการดื่มเหล้าเป็นพฤติกรรม ไม่ใช่โรค3 การเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการรักษาโรคนะครับ.
ครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปก็จะไม่สำเร็จนี่ครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม คิดในแง่บวกและอย่ายอมแพ้นะครับ.
......................
แพทย์ส่วนมากมักจะมองคนติดเหล้าเป็นคนน่ารังเกียจ.
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราเอาความรู้สึกแบบปุถุชน (Non-Physical Feeling) เข้ามาใช้ตัดสิน.
ถ้าเราตั้งต้นด้วยความคิดเช่นนั้นเสียแล้ว ความคิดจะช่วยเหลือคนไข้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้.
ก่อนจากกันในเดือนนี้ เคล็ดลับสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับคุณหมอที่มีคนไข้ติดเหล้าอยู่ในความดูแล ก็คือ คุณหมอต้องระลึกอยู่เสมอว่าคุณหมอไม่ใช่ตำรวจ และคนที่ดื่มเหล้าก็ไม่ใช่คนร้าย เพราะฉะนั้นคุณหมอไม่มีหน้าที่จะต้องไปลงโทษคนไข้.
หากคิดได้เช่นนี้ ผมเชื่อว่าคุณหมอจะสามารถช่วยคนไข้ให้เขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปได้ด้วยดีครับ.
เอกสารอ้างอิง
1. Bush K, Kirlahan DR, McDonell MB, et al. The AUDIT alcohol consumption question. Arch Intern Med 1998; 158:1789-95.
2. Bradley KA, Boyd-Wickizer J, Powell SH, et al. Alcohol Screening Questionnaires in woman. JAMA 2003;280: 166-71.
3. Johnson B, Clark W. Alcoholism : A Challenging physi-cian-patient encounter. J Gen Intern Med 2004;4:445-52.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.,
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป), อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1 กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 5,203 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้