Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » ลดความแออัดของโรงพยาบาล: ความฝันหรือความจริง?
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ลดความแออัดของโรงพยาบาล: ความฝันหรือความจริง?

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 มีนาคม 2550 00:00

โรงพยาบาลประจำจังหวัดหลายแห่ง กำลังคิดการใหญ่ในการดำเนินการเพื่อลดความแออัดของผู้มารับบริการที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ซึ่งมีถึงวันละ 1,000-2,000 คน.

ที่ว่าเป็นการคิดการใหญ่ ก็เนื่องเพราะสภาพความแออัดนี้ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงเรียนแพทย์มาช้านาน จนถือเป็นวัฒนธรรมทาง การแพทย์ของบ้านเรา ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขไปเสียแล้ว. ยิ่งพูดถึงเป้าหมายว่า "จะปิดโอพีดีไปเลย" (คือไม่มีการรับผู้ป่วยนอกทั่วไป ผู้ป่วยที่จะมาตรวจที่โรงพยาบาลต้องถูกส่งต่ออย่างเป็นทางการทุกราย อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในประเทศตะวันตก) ใครได้ยินเข้าก็พากันหัวเราะว่าเป็นการฝันกลางวันแท้ๆ.

วิวัฒนาการของระบบบริการสุขภาพในกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เราได้ทุ่มเททรัพยากรในการสร้างโรงพยาบาลขาดใหญ่ที่ระดับจังหวัด รวมทั้งโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ จนเป็นที่ศรัทธาของประชาชนทั่วไป เนื่องเพราะสามารถแก้ไขอาการเจ็บป่วยที่ยุ่งยากซับซ้อนหรือที่สถานพยาบาลใกล้บ้านไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้. ผู้ป่วยจึงมักเดินทางข้ามอำเภอ หรือจังหวัดไปใช้บริการที่โรงพยาบาลใหญ่ที่ตัวเองศรัทธา ยอมสิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง (อาจต้องเหมารถราคาแพงไปให้ถึงโรงพยาบาลแต่เช้ามืด เพื่อแย่งคิวตรวจ อาจต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายสำหรับญาติที่ร่วมเดินทางไปด้วย) ยอมรับสภาพการรับบริการที่ผ่านขั้นตอนยุ่งยากโกลาหล และการได้พบแพทย์เพียงไม่กี่นาที โดยคาดหวังว่าจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด. มีหลายกรณีที่แพทย์ที่โรงพยาบาลสามารถวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยไปตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน แต่ก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง. กรณีเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึง "ศักยภาพ" ของโรงพยาบาลใหญ่และดึงดูดผู้ป่วยให้ไหลบ่าเข้าหาอย่างต่อเนื่อง.

ในอดีต เราปล่อยให้ประชาชนมีเสรีภาพในการเลือกใช้บริการ โดยผู้ป่วยยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด (ยกเว้นโครงการสวัสดิการรักษาฟรีสำหรับคนบางกลุ่ม) ขณะเดียวกันโรงพยาบาลและสถานพยาบาลของรัฐ ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามปริมาณงาน (จำนวนผู้มารับบริการ) ทำให้โรงพยาบาลใหญ่มีรายได้มากและสามารถนำไปพัฒนาโรงพยาบาลให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป. สภาพแออัดของโรงพยาบาลนับว่าเป็นประโยชน์ต่อโรงพยาบาล จึงไม่มีความรู้สึกว่าสภาพแออัดเป็นปัญหา. สภาพนี้ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อย่างที่ใต้หวันในปัจจุบันมีโรงพยาบาลขนาด 4,000 เตียง ซึ่งมีผู้ป่วยนอกวันละนับแสนคน (หากสนใจพลิกไปอ่านเรื่อง "ชีวิตหมอไทยในไต้หวัน หนึ่งปี แห่งความทรงจำ" ในฉบับนี้).

ในปัจจุบัน ทำไมต้องรู้สึกเดือดร้อนต่อสภาพแออัดของโรงพยาบาลด้วยเล่า?

เคยมีการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลจังหวัด กว่าร้อยละ 50-75 เป็นกรณีการเจ็บป่วยที่สามารถให้การดูแลรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน และค่าใช้จ่าย (ทั้งค่าตรวจรักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ) เฉลี่ยต่อคนของผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลใหญ่สูงกว่าของสถานพยาบาลใกล้บ้าน. นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน) ที่มารักษาที่โรงพยาบาลใหญ่มีอัตราการควบคุมโรคได้ค่อนข้างต่ำ.

สะท้อนว่า โรงพยาบาลใหญ่ที่มีต้นทุนสูงนั้นต้องแบกภาระในการดูแลโรคพื้นฐานที่น่าจะดูแลได้ที่ สถานพยาบาลใกล้บ้าน ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถจัดบริการสำหรับโรคที่ต้องอาศัยกระบวนการสื่อสารและการปรับพฤติกรรม (เช่น เบาหวาน ข้อเข่าเสื่อม ไมเกรน) ให้อย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้ เนื่องเพราะไม่มีเวลา กำลังคน และบรรยากาศในการจัดกระบวนการบริการมากกว่าการวินิจฉัย และการสั่งยา.

ถ้าหากมีการประเมินคุณภาพบริการของโรงพยาบาลอย่างเป็นระบบ ก็น่าจะพบข้อบกพร่องและการด้อยประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยอีกหลายแง่มุม ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากสภาพแออัดของโรงพยาบาล.

ในมุมมองของผู้บริหารสาธารณสุข เมื่อคำนึงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพ รวมทั้งการถูกจำกัดด้านงบประมาณ (ซึ่งจะเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต) การส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลับไปดูแลรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน น่าจะดีกว่าปล่อยให้มาแออัดที่ตัวจังหวัดและโรงเรียนแพทย์ และน่าจะช่วยให้โรงพยาบาลใหญ่สามารถพัฒนาคุณภาพบริการสำหรับโรคซับซ้อนได้ดีขึ้น.

ในช่วง 5-6 ปี ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีการดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยพยายามส่งเสริมตามทิศทางดังกล่าว กลับมีปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง คือพบว่า มีปริมาณผู้ป่วยที่โรงพยาบาลอำเภอและจังหวัดมากขึ้นกว่าเดิม. ทั้งนี้เชื่อว่าน่าจะเกิดจากอัตราการใช้บริการโดยรวมมากขึ้นกว่าเดิม (โครงการดังกล่าวกระตุ้นให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น) ความไม่เข้มแข็งของเครือข่ายบริการในชุมน (ด้วยการขาดกำลังคนและการจัดการที่ดี) และการเปิดให้ผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลโดยตรง (ด้วยเกรงว่าหากตัดสิทธิข้อนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ป่วยที่ยังไม่เชื่อถือสถานบริการใกล้บ้าน).

แน่ละ การแก้ไขสภาพแออัดของโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำให้สำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การที่โรงพยาบาลใหญ่ได้แสดงความห่วงใย และชูเป้าหมายในการแก้ไขปัญหานี้ ก็น่าจะเป็นจุด เริ่มต้นที่ดีในการหันมาประเมินปัญหา ซึ่งจะทำให้เห็นจุดอ่อนของระบบบริการทั้งภายในและภายนอก โรงพยาบาล รวมทั้งเครือข่ายบริการทั้งจังหวัด และปัจจัยด้านประชาชน (การรับรู้ ความเชื่อ ความคาดหวัง ความคิดเห็น การมีส่วนร่วม).

สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเครือข่ายบริการ และระบบสุขภาพภายในขอบเขตของจังหวัดอย่างต่อเนื่องต่อไป.
 

ป้ายคำ:
  • คุยสุขภาพ
  • อื่น ๆ
  • บทบรรณาธิการ
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
  • อ่าน 4,708 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

267-001
วารสารคลินิก 267
มีนาคม 2550
บทบรรณาธิการ
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <