อรจิราเป็นเด็กสาวรุ่นใหม่ หน้าตาสวยใส อายุแค่ 22 ปี เธอเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ วันนี้เธอมาหาคุณหมอสมโภชน์เพื่อขอใบรับรองแพทย์ไปสมัครเข้าทำงานครับ.
อรจิราเห็นว่า ไหนๆ ก็มาโรงพยาบาลทั้งที เธอมีคำถามเกี่ยวกับสุขภาพมากมายที่สงสัยมานาน จึงถือโอกาสนี้ปรึกษาคุณหมอเสียเลย.
อรจิรา : คุณหมอคะ เพื่อนหนูคนนึง หน้าของเธอเหี่ยวมากๆ ก็เลยไปทำเทอร์มาจมา โอ้โห...สวยเด้งทันใจ หนูอยากไปทำบ้าง ไม่รู้ดีไหมคะ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ เทอร์มาจเนี่ยน่ะค่ะ แล้วมีผลข้างเคียงอะไรบ้างหรือเปล่า คุณหมอช่วยอธิบายหนูหน่อยสิคะ
หมอสมโภชน์ (ทำหน้าตาอึกอัก) : เอ่อ...เอ่อ...
อรจิรา : เพื่อนอีกคนนะคะ อ้วนมากๆ เคยไปลดน้ำหนักมาหลายแห่ง ตอนหลังมีคนมาชวนไปฉีดคาร์บ็อกซี่ค่ะ...น่ากลัวมากๆ เลย แต่ฉีดแล้วได้ผลนะคะหมอ ผอมเพรียวหุ่นเป็นนางแบบเลย หนูชักอยากไปฉีดบ้างแล้วล่ะ หมอว่าดีไหมคะ แล้วไอ้การฉีดคาร์บ็อกซี่นี่ เป็นยังไงบ้างคะ ฉีดตรงไหน เจ็บหรือเปล่าคะ
หมอสมโภชน์ (ทำหน้าตาอึกอัก) : เอ่อ...เอ่อ...
อรจิรา : คุณแม่ฝากหนูถามอีกเรื่องนึงด้วยค่ะ คือแม่ของหนูไปอ่านเจอข่าวเรื่อง stem cell มา น่ะค่ะ แบบว่าเซลล์นี้ใช้รักษาได้ทุกอย่างเลยเหรอคะ แล้วเขาไปฉีดกันที่ไหน ถ้าจะรักษาด้วย stem cell จะต้องไปที่ไหน ต้องทำยังไงบ้างคะหมอ...ค่าใช้จ่ายแพงไหมคะ ที่เมืองไทยทำได้หรือเปล่า...
หมอสมโภชน์ (ทำหน้าตาอึกอัก) : เอ่อ...เอ่อ...
อึกอัก อึกอัก...เอ่อ...แบบว่าไม่ค่อยแน่ใจ...
จะทำยังไงดีนะ...จะตอบคนไข้ยังไงดีนะ...หมอสมโภชน์นึกในใจ
จะสารภาพดีไหมว่า...เอ่อ...ที่หนูถามมาทั้งหมดนั่นน่ะ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง stem cell เรื่องเทอร์มาจ หรือฉีดคาร์บ็อกซี่ลดความอ้วน...แบบว่าหมอไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร...
ครูบาอาจารย์ของเราในสมัยก่อนมักจะสอนอยู่เสมอว่า ความรู้นั้นเรียนกันไม่มีวันหมด ไม่มีวันจบสิ้น แม้จะเรียนจบแพทย์ก็ไม่ใช่จะรอบรู้เรื่องการแพทย์ไปเสียทุกอย่าง ในวันเวลาที่โลกยังคงหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มนุษย์ทุกคน จึงไม่สามารถจะหยุดการเรียนรู้ได
ไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ...
อย่ากระนั้นเลย...แกล้งทำท่าหงุดหงิดๆ แล้ว รีบๆ ไล่ให้คนไข้กลับบ้านไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องถามมากๆ เพราะยิ่งถามมาก หมอก็ยิ่งปวดหัว...
เคยพบกับสถานการณ์แบบที่คุณหมอสมโภชน์เคยเจอกันบ้างไหมครับ ผมเองตอบอย่างไม่อายเลยว่า ตัวเองก็เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทำนองดังกล่าวมาแล้ว และความรู้สึกของผมในเวลานั้นไม่แตกต่างอันใดกับคุณหมอสมโภชน์เลยสักนิด.
อึดอัด คับข้องใจ ไม่รู้ว่าจะตอบคนไข้อย่างไรดี ครั้นจะบอกคนไข้ว่าหมอไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินศัพท์แสงทางการแพทย์ที่คนไข้ถามมานั่นเลยก็ทำไม่ได้.
ภาษาวัยรุ่น เขาว่า...มันเสียเซลฟ์ (Self- confidence) ครับ.
ประชาชนส่วนมากคาดหวังว่าแพทย์เป็นผู้ที่มีความรู้ และสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้เป็นอย่างดี.
แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่วิทยาการทางการแพทย์ มีการพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางด้านเกี่ยวกับพันธุกรรม, วิศวกรรมทางการแพทย์ระดับโมเลกุล ไปจนถึงเรื่องของการแพทย์ทางด้านความงาม มีหัตถการใหม่ๆ มีอุปกรณ์เสริมแบบใหม่ๆ ออกมาแทบจะรายเดือน ถึงจะเป็นแพทย์ แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ในแวดวงสาขาเฉพาะทาง ไม่ได้ติดตามข่าวสาร ก็อาจจะไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จักมาก่อน.
และในโลกปัจจุบันที่มีอินเทอร์เน็ต มีการหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก ถึงกันอย่างรวดเร็ว...หลายๆ ครั้งคนไข้ของเราจะไปได้ข้อมูลใหม่ๆ และมีคำถามแปลกๆ เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ๆ มาถามคุณหมอเสมอๆ.
และหลายๆ ครั้ง คุณหมอก็อาจจะรู้สึกลำบากใจ เมื่อไม่สามารถจะตอบคำถามเหล่านั้นได้...
เมื่อรู้สึกลำบากใจ คุณหมอบางท่านอาจจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการผลักภาระนั้นออกไปให้พ้นตัว ไม่ว่าจะเป็นการตัดบทสนทนา, การแสดงอาการโกรธ, การโต้เถียง เป็นต้น ซึ่งการแสดงออกของคุณหมอเช่นนั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณหมอและคนไข้เลยสักนิดเดียว.
คนไข้ไม่รู้หรอกครับว่าคุณหมออึดอัดใจกับคำถามของเขา ไม่รู้หรอกครับว่าคุณหมอไม่มีคำตอบและกำลังรู้สึกเสียหน้า.
คนไข้จะรู้สึกว่า คุณหมอกำลังไม่อยากคุย ไม่อยากสื่อสารกับเขา จึงพยายามตัดบทสนทนาหรือแสดงออกด้วยอาการหงุดหงิด โกรธเคือง.
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การไม่เชื่อใจ ไม่ไว้วางใจ (Distrust) และอาจเลยไปถึงการเปลี่ยนหมอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่พึงพอใจ.
เราทราบกันดีว่า Doctor แปลว่า แพทย์
แต่คุณหมอเคยทราบความหมายที่แท้จริงของ คำว่า doctor ไหมครับ
Hippocrates บิดาแห่งการแพทย์ยุคใหม่เคย พูดเอาไว้ว่า doctor หมายถึง "One who leads and teachs"...บุคคลผู้ซึ่งนำทางและให้ความรู้...1
นั่นหมายถึงว่า ความเป็นแพทย์นั้น เราจะต้องมีความเป็นครูร่วมอยู่ด้วย เราไม่อาจจะแยกบทบาทการให้ความรู้กับคนไข้ออกไปจากการรักษาอาการเจ็บป่วยได้.
จึงเป็นหน้าที่สำคัญหนึ่งของแพทย์ทุกคน จะต้องมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนในเรื่องของสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ และทางเลือกอันหลากหลายในการรักษา.
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การแพทย์มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก จนกระทั่งหลายๆ ครั้ง แพทย์อย่างตัวผมและคุณหมอก็ยังตามไม่ทัน...
ในเมื่อแพทย์ตามไม่ทัน แล้วจะนับประสาอะไรกับคนไข้ล่ะครับ...
ผมพบด้วยตัวเองว่า คนไข้ปัจจุบันนี้ให้ความสนใจกับข้อมูลข่าวสาร วิทยาการทางการแพทย์เป็นอย่างมาก หลายๆ ครั้งเมื่อมาพบกันที่ห้องตรวจ ก็จะมีคำถามทำนองเดียวกับที่หนูอรจิราถามคุณหมอสมโภชน์.
หลายครั้งผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณหมอสมโภชน์ คือ ไม่รู้เลยว่าคนไข้พูดถึงอะไร และเราควรจะตอบอย่างไร...
แต่ผมก็ต้องตอบ เพราะหลายครั้งได้พบว่า ข้อมูลที่คนไข้นำมาถามนั้น เป็นข้อมูลที่คนไข้ไปรับฟังมาจากสื่อ จากสถานสุขภาพความงาม หรือจากบริษัทบางแห่ง ที่จงใจบิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลเฉพาะทางด้านบวกแก่คนไข้ เพื่อจะได้นำไปประกอบการตัดสินใจ จนทำให้คนไข้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆ และเกิดผลเสียต่างๆ แก่สุขภาพตามมาได้ในอนาคต.
ในเมื่อคุณหมอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ ดังกล่าว...หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย...แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี ผมมีข้อแนะนำดังนี้ครับ
1. ก่อนอื่นคุณหมอต้องบอกตัวเองว่า...อย่าเพิ่งตระหนกตกใจไปให้ใช้เทคนิคการฟัง เป็นอันดับแรกครับ ฟังอย่างให้เกียรติแก่คนไข้ ฟังเพื่อให้ได้ข้อมูลเสียก่อนว่าคนไข้รู้อะไรมาแค่ไหน...คนไข้รู้จัก stem cell มากน้อยแค่ไหน รู้จักเทอร์มาจว่าเป็นอย่างไร เคยเห็นการฉีดคอาร์บ็อกซี่มาแล้วหรือไม่.
2. ประเมินคนไข้ของเราว่า การที่เขาถามเรานั้น...เขามีความตระหนักและต้องการที่จะรู้ (Concern) มากน้อยแค่ไหน
หนูอรจิราเธออาจจะไม่ได้ต้องการรู้เรื่องของการทำเทอร์มาจจริงๆ ก็ได้ อาจจะเพียงแต่อยากคุยเล่นเฉยๆ....แต่ถ้าคุณหมอสมโภชน์ประเมินแล้ว เกิดพบว่าอรจิราเธออยากรู้จริงๆ เราก็จะต้องเข้าสู่ขั้นตอน ถัดไปในข้อที่ 3 ครับ...
3. ถ้าคุณหมอมีความรู้เรื่องที่คนไข้ถามเป็นอย่างดี...ก็อธิบายให้คนไข้ฟังไปเลยครับ.
หัวใจสำคัญของการอธิบายเรื่องราวความรู้ทางการแพทย์ให้คนไข้ฟังก็คือ คุณหมอต้องคิดเสมอว่าคนไข้ไม่ใช่แพทย์ ควรพยายามใช้ศัพท์แสงทางการแพทย์ให้น้อยที่สุด พยายามอธิบายให้คนไข้เข้าใจ ง่ายๆ ใช้ภาษาที่ชาวบ้านเขาคุยกัน.
คุณหมออาจจะวาดรูปประกอบ ใช้แผนภาพอธิบาย หรือชี้ไปที่หุ่นและร่างกายของคนไข้ในตำแหน่งที่ต้องการจะอธิบาย เพื่อให้คนไข้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น.2
4. ถ้าสิ่งที่คนไข้ถาม คุณหมอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคืออะไร หรือมีรายละเอียดอย่างไร ก็ให้สื่อสารกับคนไข้ไปตรงๆ อย่ากลัว อย่ารู้สึกว่าเสียหน้า คนเราไม่สามารถจะหยั่งรู้ไปเสียหมดทุกอย่างหรอกครับ.
พูดความจริง (Saying the truth) กับคนไข้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ในวงการแพทย์ยังต้องการข้อมูลจากการศึกษาอีกมาก คุณหมอยังไม่มีรายละเอียดในเวลานี้ แต่ยินดีที่จะค้นรายละเอียดมาเล่าให้คนไข้ฟังในภายหลัง.
เมื่อคุณหมอได้สื่อสารกับคนไข้ไปเช่นนั้นแล้ว อย่าลืมที่จะนัดคนไข้มาคุยจริงๆ นะครับ.
ระหว่างที่ยังไม่ถึงวันนัด คุณหมอก็รีบไปค้นข้อมูลเรื่องที่คนไข้ถามโดยด่วน เพื่อวันที่คนไข้แวะมาคุย คุณหมอจะได้ตอบคนไข้ได้อย่างมั่นใจและภาคภูมิ.
ข้อสงสัยในใจส่วนใหญ่ของคนไข้ มักจะวนเวียนอยู่ใน 2 หัวข้อใหญ่ๆ เท่านั้นล่ะครับ คือ
- ข้อมูลของโรคและหัตถการ เช่น โรคนี้คือโรคอะไร, stem cell คืออะไร, การรักษาด้วยวิธีฉีดคาร์บ็อกซี่คืออะไร เป็นต้น.
- ขั้นตอนการรักษา การทำหัตถการและผลข้างเคียง หรือในบางครั้งอาจเลยไปถึงประมาณการค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ไม่เกินความสามารถของคุณหมอที่จะบอกให้คนไข้รู้อย่างแน่นอน.3
5. หลังจากอธิบายให้คนไข้ฟังเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมถามคนไข้กลับว่าเข้าใจเรื่องที่คุยกันว่าอย่างไร ลองให้คนไข้เล่าให้เราฟังอีกครั้ง เพื่อให้มั่นในว่าข้อมูลที่คนไข้ได้รับไปนั้น ตรงกับของคุณหมอนะครับ
กระบวนการให้ความรู้กับคนไข้ โดยการถามคนไข้ว่ารู้อะไรแค่ไหน จากนั้นอธิบายให้คนไข้ฟังและปิดท้ายด้วยการลองสอบถามความเข้าใจของคนไข้อีกครั้งเราเรียกว่ากระบวนการให้สุขศึกษาแบบแซนด์วิช (Ask-Tell-Ask : Educational Sandwich) เป็นวิธีการให้สุขศึกษาที่พบว่าได้ผลสัมฤทธิ์ดีที่สุดวิธีหนึ่ง.4
6. หลังจากพูดคุยกับคนไข้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งก็คือ การบันทึกในเวชระเบียนคุณหมอต้องไม่ลืมบันทึกสิ่งที่คนไข้ถามและสิ่งที่คุณหมอตอบเอาไว้นะครับ จดสรุปคร่าวๆ ก็ได้ เพราะเมื่อคุณหมอได้พบกับคนไข้ครั้งต่อไป จะได้ไม่ลืมว่าได้คุยอะไรกับคนไข้ไปบ้างในครั้งที่ผ่านมา.
ครูบาอาจารย์ของเราในสมัยก่อนมักจะสอนอยู่เสมอว่า ความรู้นั้นเรียนกันไม่มีวันหมด ไม่มีวันจบสิ้น แม้จะเรียนจบแพทย์ก็ไม่ใช่จะรอบรู้เรื่องการแพทย์ไปเสียทุกอย่าง ในวันเวลาที่โลกยังคงหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มนุษย์ทุกคนจึงไม่สามารถจะหยุดการเรียนรู้ได้.
ก่อนจากกันไปในเดือนนี้ ผมขอนำเอาโคลงโลกนิติมาฝากเป็นข้อคิดเตือนใจสักหนึ่งบทครับ...
ความรู้รู้ยิ่งได้ สินศักดิ์
เป็นที่ชนพำนัก นอบนิ้ว
อย่าเกียจเกลียดหน่ายรัก เรียนต่อ
รู้ชอบใช่หอบหิ้ว เหนื่อยแพ้ แรงโรย
เอกสารอ้างอิง
1. Gordon GH, Duffy FD. Educating and enlisting patients. J Clin Outcomes Manag 1998;5:45-50.
2. Cassell E. Talking with patients. The Theory of doctor-patient communication.Vol.1. Cambridge, MA :MIT Press, 2003.
3. Waitzkin H. Doctor-patient communication. Clinical implication of social scientific research. JAMA 1984; 252:2441-46.
4. Cohen JJ. Remembering the real question. Ann Intern Med 2004;128:563-6.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.,
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 2,308 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้