เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่เขตภาคเหนือตอนล่าง ร่วมกับคณะเยี่ยมเยียนของสปสช. ซึ่งนำโดยนายแพย์อุทัย สุดสุข อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการบริหารงบลงทุน เพื่อพัฒนาบริการปฐมภูมิของ สปสช. เราได้แวะดูงานและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับทีมงานโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลกเกี่ยวกับโครงการลดความแออัดของโรงพยาบาลศูนย์ และเยี่ยมชมศูนย์แพทย์ชุมชนซึ่งเป็นศูนย์บริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีแพทย์ทำงานเต็มเวลา 2 แห่ง ที่ตำบลบ้านบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ และตำบล ตลุกดู่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี.
คณะของเรารู้สึกชื่นชมกับโครงการเด่นและนวัตกรรมในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของทีมงานในพื้นที่ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล. ในที่นี้ผมขอกล่าวเฉพาะโครงการลดความแออัดของโรงพยาบาลพุทธชินราชซึ่งมีกิจกรรมที่น่าเรียนรู้หลายประการด้วยกัน.
โรงพยาบาลศูนย์แห่งนี้ เป็นโรงพยาบาลขนาด 907 เตียง มีผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละประมาณ 2,000 ราย. ในการลดความแออัด โรงพยาบาลได้ดำเนินการ 6 โครงการ ได้แก่
- พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยโรคเรื้อรังดูแลต่อเนื่องที่ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน.
- พัฒนาระบบส่งต่อข้อมูลการดูแลสุขภาพประชาชนระหว่างเครือข่าย.
- พัฒนาศักยภาพศูนย์สุขภาพชุมชน ในเครือข่ายโรงพยาบาลพุทธชินราช.
- พัฒนาความเข้มแข็งเพื่อส่งเสริม ป้องกันและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ.
- จัดตั้งศูนย์แพทย์ชุมชนตำบลสมอแข อำเภอเมืองพิษณุโลก.
- พัฒนาระบบบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพุทธชินราช.
เฉพาะในเขตอำเภอเมือง โรงพยาบาลได้ทำงานกับเครือข่ายศูนย์สุขภาพชุมชน 30 แห่ง (5 แห่ง เป็นของเทศบาล) โดยประสานงานกับเทศบาลและมหาวิทยาลัยนเรศวรในการดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วทั้งเขตอำเภอเมือง สร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเชื่อมโยงข้อมูลการดูแลสุขภาพประชาชนในเครือข่าย พัฒนาศักยภาพของพยาบาลเวชปฏิบัติและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำศูนย์สุขภาพชุมชนทั้ง 30 แห่งในการให้บริการทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสภาพ. ขณะเดียวกันก็ได้ส่งผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) กลับไปดูแลต่อเนื่องที่ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน โดยแบ่งพื้นที่เขตอำเภอเมืองออกเป็น 7 โซน แต่ละโซนมีแพทย์ของโรงพยาบาลหนึ่งท่านเป็นที่ปรึกษาประจำ. ทั้งนี้ได้กำหนดแนวทางมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วย ทำการฝึกอบรมความรู้พื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จัดระบบให้คำปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ และระบบการติดตามกลับมารักษาที่โรงพยาบาล (ส่งกลับมาพบแพทย์ประจำที่โรงพยาบาล 6 เดือน/ครั้ง และสามารถส่งกลับกรณีฉุกเฉินตามเกณฑ์ที่กำหนด).
ทางโรงพยาบาลยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรในการตรวจตาผู้ป่วยเบาหวานด้วยกล้องถ่ายภาพจอตา (fundus camera) ซึ่งสามารถดำเนินการภายในชุมชน ครอบคลุมผู้ป่วยจำนวนมาก และลดภาระการเดินทางมาโรงพยาบาลของผู้ป่วยและญาติ ทั้งนี้โดยการส่งภาพถ่ายไปให้จักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลเป็นผู้อ่านผล. วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานที่แต่เดิมไม่มีโอกาสพบจักษุแพทย์ได้รับการตรวจกรองภาวะแทรกซ้อนทางตา และได้รับการบำบัดได้ตั้งแต่ระบบแรกเริ่ม.
ระบบบริการผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเอง ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ผู้ป่วยลดคิว การรอลง โดยได้เพิ่มห้องจ่ายยาหลายจุด และมีระบบการจองเวลาตรวจตามความสะดวกของผู้ป่วย.
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลยังได้สร้างความเข้มแข็งของประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง เช่น การตั้งชมรมรักษ์สุขภาพ 15 กลุ่ม มีสมาชิกรวมกันทั้งหมด 500 คน การจัดตั้งชมรมรวมใจต้านภัยมะเร็ง (ปากมดลูกและเต้านม) 6 ชมรมมีจำนวนสมาชิก 400 คน. มีการจัดตั้งชมรมอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 10 ครอบครัว/ตำบลให้การดูแลญาติและเพื่อนบ้านที่เป็นอัมพาต โดยมีการฝึกอบรมด้านการดูแลผู้ป่วยรวมทั้งการฟื้นฟูสภาพแล้วให้อาสาสมัครลงไปเยี่ยมผู้ป่วย และมี นักกายภาพบำบัดและพยาบาลพี่เลี้ยงคอยติดตามนิเทศและให้คำปรึกษา ช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะทางกาย จิตและสังคมดีขึ้น.
กิจกรรมดีที่น่าสนใจอีกอย่าง ก็คือ โครงการจิตอาสา โดยก่อตั้งชมรมจิตอาสาขึ้นในโรงพยาบาลและในชุมชน ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนและขณะที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาล. ในช่วงปิดเทอมก็ได้มีอาสาสมัครเยาวชนนักเรียนมาดูแลเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และอ่านหนังสือให้เด็กฟัง. มีโครงการคลังปัญญา โดยส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ (เช่น พยาบาล นักกายภาพบำบัด) ที่เกษียณจากราชการได้ทำงานจิตอาสาแก่ผู้ป่วยและชุมชน. มีการจัดตั้งธนาคารกายอุปกรณ์โดยรวบรวมกายอุปกรณ์ (เช่น รถเข็น ไม้เท้า อุปกรณ์ช่วยเดิน) ที่ผู้ป่วยเลิกใช้แล้ว นำไปให้ผู้ป่วยรายใหม่ใช้ต่อไป. .
จากกรณีตัวอย่างของโรงพยาบาลพุทธชินราช แสดงให้เห็นว่า โรงพยาบาลศูนย์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายของเครือข่ายบริการสุขภาพระดับเขต สามารถพัฒนางานบริการปฐมภูมิและงานสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน ควบคู่กับการบริการทุติยภูมิและตติยภูมิพร้อมๆ กันไปได้. แม้ว่าขณะนี้กิจกรรมหลายส่วนยังไม่เห็นผลลัพธ์เด่นชัด แต่ด้วยศักยภาพที่มีทรัพยากรด้านกำลังคนและเทคโนโลยี หากมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการ (action research) เข้ามามีส่วนในการดำเนินงาน ก็เชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีและเป็นฐานในการเรียนรู้ของบุคลากรและนักศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคตต่อไป.
- อ่าน 3,697 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้