Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » ทิศทางของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหลังยุค 30 บาท รักษาทุกโรค
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ทิศทางของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหลังยุค 30 บาท รักษาทุกโรค

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 เมษายน 2550 00:00

นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "30 บาทรักษาทุกโรค" นับเป็นความเปลี่ยนแปลงในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ ตลอดจนการจัดการภายในของกระทรวงสาธารณสุขครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง. ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ยินเสียงที่ชื่นชมในความสำเร็จในการสร้างหลักประกัน ทางสุขภาพที่สามารถช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากนัก ความสำเร็จที่ทำให้ผู้คนหันมาหาบริการระดับปฐมภูมิและการสร้างเสริมสุขภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับฟังเสียงที่ตำหนิถึงความไม่พร้อมในการจัดระบบบริหารจัดการ รวมทั้งปัญหา "เงินไม่พอ" ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาในการให้บริการ เกิดความขัดแย้งในหมู่สถานพยาบาลผู้ให้บริการ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพที่ประชาชนบางกลุ่มได้รับตามที่หลายๆ ท่านอาจเคยได้ยินได้ฟังกันแล้วทางวิทยุโทรทัศน์ หรืออ่านจากสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ จนมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงขั้นต่อต้านนโยบายดังกล่าว.

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในช่วงปลายปี พ.ศ. 2549 และมีการประกาศเลิกเก็บ "30 บาท" ไปแล้ว หลายฝ่ายจึงออกมาตั้งคำถามถึงนโยบายหรือแนวทางในการดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่อง "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" กันอีกครั้งว่าควรจะมีทิศทางนโยบายต่อไปอย่างไร และดำเนินการกันต่ออย่างไร. โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งที่สาธารณชนได้ข้อมูลอยู่ในขณะนี้ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ดูจะเป็นเพียง "เปลือก" ของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถูกมองจากแต่ละฝ่ายแยกเป็นส่วนๆ หากเราจะหันมามองข้างหลังภาพ วิเคราะห์ความซับซ้อนและความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เรามองเห็นทิศทางของการพัฒนาเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพของประเทศได้ชัดเจนขึ้น.

มุมมองต่อสถานการณ์
คนไทยคนหนึ่งควรต้องรับผิดชอบต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยของตนเองโดยเฉพาะเรื่องภาระค่าใช้จ่ายเพียงใด ตลอดจนทำอย่างไรจะให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นได้ เป็นคำถามที่มีนักวิชาการในวงการระบบบริการสาธารณสุขของประเทศพยายามหาคำตอบกันมานาน แต่ประเด็นเหล่านี้กลับไม่ได้ได้รับการพูดถึงในสังคมไทยโดยทั่วไปกันมากนัก จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2539 พบว่าคนไทยจำนวนกว่าร้อยละ 35 ไม่มีหลักประกันสุขภาพใดๆ (แม้ว่าตัวเลขผู้มีหลักประกันโดยกระทรวงสาธารณสุขจะอยู่ที่เพียงประมาณร้อยละ 20). คนเหล่านี้ต้องช่วย เหลือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองหรือขอสังคมสงเคราะห์จากแหล่งต่างๆ ที่เรียกกันติดปากว่าเป็น "ผู้ป่วยอนาถา" ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ แม้มีสิทธิหรือหลักประกันสุขภาพ แต่หลักประกันสุขภาพแต่ละระบบก็มีข้อกำหนดและการสนับสนุนทรัพยากรที่แตกต่างกันมาก ตลอดจนไม่มีความมุ่งหมายในการพัฒนาระบบเพื่อคุณภาพ ส่งผลต่อมาตรฐานของบริการที่ผู้ป่วยได้รับแตกต่างกันไปด้วย.

เมื่อเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับการบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบสุขภาพ และมีการผลักดันจากนโยบายของพรรคการเมือง จนต่อมากลายเป็นนโยบายของรัฐบาลภายใต้ชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" การดำเนินการและพัฒนาการในด้านต่างๆ เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้นอย่างจริงจัง อาทิ การออกกฎหมาย "พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545" การออกบัตรแสดงสิทธิการปรับระบบบริหารจัดการและการคลัง การจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การพัฒนาการบริการระดับปฐมภูมิ เช่น ศูนย์สุขภาพชุมชนต่างๆ ตลอดจนระบบการส่งต่อ การให้ข้อมูลและรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน เป็นต้น จนอาจกล่าวได้ว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบสำเร็จเป็นอย่างมากในการสร้างหลักประกันให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข และสร้างความเป็นธรรมทางสังคมมากขึ้นในการรับภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ ทั้งนี้สามารถอ้างอิงได้จากการสำรวจอนามัยและสวัสดิการของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่มีการดำเนินการสำรวจเป็นระยะๆ.

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งก็ปรากฎปัญหาในการดำเนินการอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งมักตกกับกลุ่มผู้ให้บริการเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่

(1) ปัญหางบประมาณต่อหัวประชากรที่ไม่ เพียงพอการกระจายงบประมาณที่ไม่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสถานพยาบาลของรัฐจำนวนมากในทุกระดับ ทำให้เกิดปัญหาขาดทุน หรือขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไปของกระทรวงสาธารณสุข บั่นทอนศักยภาพในการพัฒนาองค์กรของโรงพยาบาล.

(2) การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติต่างๆ ในการบริหารจัดการระบบบ่อยครั้ง ทั้งในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่เบิกจ่ายได้ และระเบียบปฏิบัติตลอดจนความไม่แน่นอนทางการบริหารทางการเงิน เพิ่มความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการของโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อเกิดร่วมกับความไม่เพียงพอของทรัพยากรส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มผู้ให้บริการที่ต้องทำงานร่วมกันในระบบการส่งต่อผู้ป่วย.

(3) ประชาชนมีความคาดหวังสูงขึ้น แต่ขาดความไม่มั่นใจในเรื่องคุณภาพของการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของยาและความผิดพลาดในการรักษาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ในหลายโอกาสได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ การร้องเรียนและฟ้องร้องของประชาชน ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับมาเพิ่มความเครียดภายในระบบ.

(4) ภาระงานบริการในระบบที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัญหาดังกล่าวทับถมลงบนปัญหาเดิมเกี่ยวกับความไม่เพียงพอและกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์อย่างไม่สมดุลที่มีมาแต่เดิม ร่วมกับปัญหาอื่นๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้บุคลากรจำนวนหนึ่งลาออกไปทำงานในภาคเอกชนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ในขณะที่ภาระงานและความเครียดน้อยกว่า.

ปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ทำให้มีผู้ให้ข้อคิดเห็นว่าเป็นอาการแสดงถึงความล้มเหลวของการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า บ้างก็ว่าประเทศไทยไม่ควรมีการดำเนินการในเรื่องนี้ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเรื่อง "เตี้ยอุ้มค่อม" ในขณะที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความเห็นว่า ของเดิมที่ใครมีก็จ่าย ใครไม่มีก็ไม่ต้องจ่ายแต่ขอสังคมสงเคราะห์น่าจะเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว.

ความท้าทายเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันสุขภาพของคนไทย ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระบบ "30 บาท" เท่านั้น เพราะในขณะที่มีความจำกัดของทรัพยากรในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัวกลับเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว จาก 15,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2540 เป็นกว่า 37,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2549 ซึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นพฤติกรรม "Robinhood" ของโรงพยาบาลที่นำผลกำไรจากการให้บริการ แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มาอุดหนุนภาวะขาดทุนจากการให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. ส่วนระบบประกันสังคมก็เผชิญกับปัญหาเรื่องปัญหาขาดทุนในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลศูนย์หลายแห่ง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายปี อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์รับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม (adverse selection) ตลอดจนปัญหาการจัดสิทธิประโยชน์และกลไกจ่ายเงินสำหรับบริการบางประเภท ให้แก่โรงพยาบาล.

ทิศทางที่กำลังขับเคลื่อน
การสร้างหลักประกันสุขภาพสำหรับคนไทย ยังคงเป็นความท้าทาย โดยหลักการแล้ว คำถามที่สำคัญ คือ เราจะปล่อยให้คนไทยส่วนหนึ่งถูกเรียกว่า "อนาถา" หรือไม่เมื่อเจ็บป่วย เราจะปล่อยให้สังคม ตีตราบุคคลเหล่านั้นเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง หรือเป็นกลุ่มที่ต่ำต้อยกว่าได้แต่รอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น เสมือนเป็นขอทานอันเนื่องจากภาวะความเจ็บป่วยไม่สบายหรือไม่. ถ้าเราเห็นตรงกันว่า "ไม่" และ คนไทยควรเป็นผู้ที่สามารถยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีในตนเองหรือด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างภาคภูมิ แม้ในยามที่ป่วยไข้หรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ นั่นคือหลักประกันสุขภาพ. ทั้งนี้เพราะไม่เพียงแต่ผู้ยากไร้เท่านั้น กลุ่มผู้ที่มีอันจะกินเมื่อเจ็บป่วยและต้องได้รับการตรวจรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจต้องกู้หนี้ยืมสินจนหมดกำลังจ่ายและกลายสภาพเป็น "ผู้ป่วยอนาถา" ได้โดยไม่ยาก.

การที่รัฐให้สิทธิแก่ประชาชนคนไทยในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข หรือสร้างหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชน จึงเป็นเสมือนการที่รัฐให้หลักประกันในความเสมอภาคสำหรับความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันสำหรับคนไทยทุกคนในประเทศ หลักประกันสุขภาพจึงเป็นของคนไทยทุกคนเป็นสิทธิที่ พึงมีพึงได้ตามรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่จะให้หรือไม่ให้ หรือจะยกเลิกได้ตามอำเภอใจ. ดังนั้นโดยหลักการเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนไทย คงจะไม่มีใครทำให้ถอยหลังกลับไป สู่ระบบ "ผู้ป่วยอนาถา" แบบเดิม.

ในปัจจุบัน เราจะสังเกตได้ว่ามีความพยายาม และการผลักดันในระดับนโยบายและการจัดการระบบในการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีอย่างต่อเนื่อง ได้มีคำสั่งให้เลิกเก็บการจ่ายร่วมของผู้ใช้บริการ 30 บาทไปแล้ว (โดยไม่ปรากฏเหตุผลทางวิชาการสนับสนุนที่แน่ชัด ทำให้ปัจจุบันกลายเป็น "อดีต 30 บาทรักษาทุกโรค"). ทั้งนี้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจัดทำข้อเสนอเพื่อพัฒนาหลักประกันสุขภาพด้านการเงินการคลัง มีการเสนอให้ปรับเพิ่มงบประมาณรายหัวในปีงบประมาณ 2550 ขึ้น และได้รับอนุมัติที่ 1,899 บาทต่อคนต่อปี แม้ว่าจะได้น้อยกว่าที่ขอไปที่ระดับ 2,089 บาทแต่ก็นับว่ามากกว่างบประมาณเดิมที่ 1,659 บาทต่อคนต่อปี. นอกจากนี้กำลังทบทวนกลไกการจ่ายเงินทั้งในกรณีการรักษาโรคราคาแพง บริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการพัฒนาข้อเสนอเกี่ยวกับระบบรายงานบัญชีต้นทุนของหน่วยบริการ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น และในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำลังมีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการอีกหลายๆ ด้านเช่นกัน เช่น ระบบ disease management ที่ได้เริ่มต้นไว้กับโรคมะเร็งเม็ดโลหิต เป็นต้น.

ในขณะเดียวกันระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการซึ่งได้มีการพัฒนาระบบการเบิกจ่ายตรงของโรงพยาบาลเพื่อลดภาระการจ่ายเงินไปก่อนของข้าราชการซึ่งต้องให้ข้าราชการไปลงทะเบียนที่โรงพยาบาลล่วงหน้า และได้มีการประกาศใช้บัญชีราคากลางใหม่ทั้งระบบเพื่อการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะระบบบัญชียา ซึ่งมีการกำกับควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น พร้อมด้วยแนวโน้มที่จะ นำกลไกการจ่ายเงินแบบปลายปิดที่อ้างอิงกับกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หรือ Diagnosis-related group (DRG) มาใช้เร็วๆ นี้. ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในระบบประกันสังคมคงเป็นเรื่องการปรับสิทธิและการจ่ายเงินกรณีการคลอดและทันตกรรม ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน และกำลังพิจารณาการปรับเงินเหมาจ่ายรายหัวค่ารักษาพยาบาลแก่ โรงพยาบาล นอกจากนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคณะกรรมการชุดต่างๆ ในการบริหารระบบด้วย.


ประเด็นที่ต้องเติมเต็มสำหรับอนาคต
การพัฒนาให้เกิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชนอย่างแท้จริงในอนาคต ไม่น่าจะเป็นแต่เพียงการที่รัฐบาลให้ความคุ้มครองหรืออุดหนุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการสาธารณสุขเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยให้กับประชาชน แต่ต้องเป็นระบบหลักประกันสุขภาพที่มุ่งสร้างที่พึ่งพาให้แก่ประชาชน ทั้งยามป่วยไข้และยามแข็งแรงเพื่อมิให้เกิดการเจ็บป่วยหรือพิการโดยไม่จำเป็น. เราจะต้องผลักดันการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้เป็นระบบและกลไกที่สามารถส่งเสริมให้เกิดการกระจายทรัพยากรและการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพด้วย. ในขณะเดียวกัน สามารถกระตุ้นให้มีบริการสาธารณสุขที่จำเป็นและมีคุณภาพ อยู่ในที่ตั้งที่ประชาชนผู้มีสิทธิสามารถเข้าถึงได้ตามสมควร มีระบบส่งต่อเพื่อให้ประชาชนสามารถได้รับบริการที่จำเป็นจนถึงที่สุดที่ทรัพยากรของประเทศพอจะรองรับได้. นอกจากนี้ ยังต้องมีระบบและกลไกที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของประชาชนรวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเข้ารับบริการตามสมควร ตลอดจนมีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะส่งเสริมยกระดับมาตรฐานของสถานพยาบาลที่เป็นหน่วยบริการต่างๆ ในระบบได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน.

ประเด็นที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังสำหรับอนาคตของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในความเห็นของผู้เขียน มีอยู่ 5 ประการที่สำคัญดังต่อไปนี้

1) ทำความชัดเจนในด้านงบประมาณการคลังของระบบเพื่อให้มีงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการให้บริการสุขภาพตามสิทธิประโยชน์ และสอดคล้องกับระดับมาตรฐานทางคุณภาพที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงด้านการเงินการคลังในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้ง 3 ระบบหลักของประเทศ ควรมีการวางแผนร่วมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของหน่วยบริการต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยบริการภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อการให้บริการสุขภาพต่อประชาชนในวงกว้าง ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของระบบบริการในอนาคตได้.

ทั้งนี้เพื่อให้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการให้บริการที่มีมาตรฐานและความยั่งยืนของระบบ การปรับระบบการคลังให้ประชาชนมีส่วนร่วมจ่าย (Co-payment) หรือส่วนร่วมประกัน (Co-insurance) ในค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ณ จุดบริการตามฐานะทางเศรษฐกิจ หรือความสะดวกสบายของบริการเป็นพิเศษ บางประการที่ไม่มีผลกระทบต่อมาตรฐานการดูแลสุขภาพ เป็นเรื่องที่น่าจะมีการพิจารณาร่วมกันอย่างจริงจัง.

2) พัฒนาการอภิบาลระบบที่ชัดเจนในระดับนโยบาย โดยกระทรวงสาธารณสุขควรเพิ่มบทบาทที่สำคัญในการพัฒนาและชี้นำทิศทางนโยบาย สาธารณสุขและการบริการสุขภาพของประเทศ ไม่ใช่เพียงดูแลระบบบริการสุขภาพที่อยู่ในสังกัดหรือภายใต้การดูแลของกระทรวงเท่านั้น และนำทิศทางนโยบาย ที่ชัดเจนและเข้มแข็งเหล่านั้นสู่การปฏิบัติผ่านทางคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อชี้นำนโยบายของระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ ร่วมกับการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งภาคประชาชน โดยการเปิดเผยและให้ข้อมูลด้านวิชาการและการดำเนินงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความเข้าใจระบบและกลไกในภาพรวมของการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทรัพยากรที่มี ตลอดจนข้อจำกัดต่างๆ อันจะนำมาสู่การกำหนดนโยบายและสิทธิประโยชน์ที่อิงอ้างข้อมูลหลักฐานทางวิชาการ มีความคุ้มค่าและประโยชน์ เชิงสังคมที่ชัดเจน มากกว่าการอ้างอิงกระแสเรียกร้องเป็นเรื่องๆ แบบไร้ทิศทาง หรือความเป็นเหตุ เป็นผลสัมพันธ์กับทรัพยากรที่มี ทั้งนี้การแสดงบทบาท ชี้นำที่ชัดเจนในเวทีที่เหมาะสมของแต่ละฝ่าย น่าจะช่วยลดความเป็น "ขนมชั้นเชิงนโยบาย" ลดลงได้.

3) เร่งศึกษาและพัฒนาระบบและกลไกในการให้ความคุ้มครองความเสียหายของประชาชนผู้ใช้บริการจากการใช้บริการสุขภาพที่ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มผู้ให้บริการหรือสามารถให้ความคุ้มครองแก่กลุ่มผู้ให้บริการที่ปฏิบัติงานโดยสุจริตและทุ่มเทด้วยไปพร้อมกัน. ทั้งนี้เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ให้และผู้ใช้บริการสุขภาพที่กำลังเพิ่มทวีขึ้น และลดกระแสที่มุ่งสู่การทำเวชปฏิบัติแบบปกป้องตนเอง ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการรวบรวมข้อมูลเชิงระบบเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพของบริการ.

4) เชื่อมโยงระบบและกลไกที่เกี่ยวข้องในระบบบริการสุขภาพของประเทศอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ ทั้งในเชิงนโยบายและการบริหาร เช่น การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล การวิจัยและพัฒนาบริการ การพัฒนาระบบสารสนเทศ การพัฒนาและรับรองคุณภาพ บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนกลไกในการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค. ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรสื่อสารและดำเนินการร่วมกันในการศึกษาและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีการดำเนินการหรือมีการพัฒนาอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินการอันจะมีผลเพิ่มภาระงานในระดับปฏิบัติงาน.

5) ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อปรับแนวคิดของหลักประกันสุขภาพสู่แนวคิด "หลักประกันสุขภาพเริ่มที่บ้าน"
ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล โดยสร้างความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรมตลอดจนสิ่งแวดล้อมในชุมชนเพื่อการมีส่วนร่วมของการดูแลตนเองและครอบครัวที่บ้าน. ทั้งนี้เพื่อลดภาระอันเกิดจากการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็น ความเจ็บป่วยที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ หรือปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการขาดการมีส่วนร่วมในการรักษาพยาบาลของตนเองในครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้แนวคิดสร้างเสริมสุขภาพดังกล่าว ควรดำเนินการร่วมกับการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนอย่างใกล้ชิด.

การสร้างหลักประกันสุขภาพสำหรับคนไทยยังคงเป็นความท้าทาย โดยหลักการแล้ว คำถามที่สำคัญ คือ เราจะปล่อยให้คนไทยส่วนหนึ่งถูกเรียกว่า "อนาถา" หรือไม่ เมื่อเจ็บป่วย เราจะปล่อยให้สังคมตีตราบุคคลเหล่านั้นเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง หรือเป็นกลุ่มที่ต่ำต้อยกว่าได้แต่รอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น เสมือนเป็นขอทาน อันเนื่องจากภาวะความเจ็บป่วยไม่สบายหรือไม่

จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ พ.บ.
รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลาจุฬาลงกรณ์
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ป้ายคำ:
  • คุยสุขภาพ
  • อื่น ๆ
  • เวชปฏิบัติปริทัศน์
  • นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์
  • อ่าน 13,031 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

268-006
วารสารคลินิก 268
เมษายน 2550
เวชปฏิบัติปริทัศน์
นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <