"คนตาบอดบางคนอยากไปดูหนัง คนอื่นได้ยินก็หัวเราะ นี่คือความรู้ของคนในสังคมที่ไม่รู้พอ เพราะเขาไม่มีความรู้พอและไม่มีประสบการณ์"
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราท่านได้ยินเรื่องดังกล่าว แล้วแอบยิ้มหรือหัวเราะกับเรื่องราวที่ดูเหมือนชวนหัวนี้ เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้ แต่กลับกันในอีกมุมหนึ่ง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เนื่องจากอาจเป็นความจริงอีกด้านที่สังคมยังไม่รับรู้ ดังที่ พญ. วัชรา ริ้วไพบูลย์ ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย แห่งศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ได้พยายามค้นหาความหมายของผู้พิการจากมุมมองที่ต่างไป
"หมอเรียนจบจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 13 หลังจากเรียนจบได้ไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก
ช่วงนั้นกำลังมีการเรียกคืนคุณค่าการแพทย์แผนไทย ว่าทำอย่างไรจะนำเอาภูมิปัญญาดั้งเดิมกลับมาใช้ประโยชน์ในระบบสุขาภาพ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้ จากแนวคิดดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง 5 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลวังน้ำเย็น โรงพยาบาลพล โรงพยาบาลสูงเนิน โรงพยาบาลทุ่งสง และโรงพยาบาลบางกระทุ่ม โดยให้สาธารณสุขมูลฐาน (สสม.) เป็นแกนนำ
พวกเราได้เลือกทดลองสมุนไพรที่ไม่มีพิษ และมีข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ขมิ้นชัน มะขามแขก ฟ้าทะลายโจร ว่านหางจระเข้ เสลดพังพอน ทดลองทำทุกกระบวนการตั้งแต่การปลูก จนกระทั่งนำมาใช้กับคนไข้จริงๆ ตอนแรกก็ใช้สดๆ ต่อมาพัฒนาบดใส่แคปซูล ถือว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ เพราะได้แพร่ขยายวงกว้างจนกระทั่งเข้าสู่กระบวนการผลิตขององค์การเภสัชกรรม
จากนั้นย้ายไปทำงานที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยได้มาดูแลผู้ป่วยเบาหวาน การได้มาทำงานตรงนี้ ทำให้เราได้เห็นว่า ระบบการแพทย์เข้าไปจัดการเรื่องของชาวบ้านทั้งหมด โดยไม่ปล่อย ให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์ของผู้ป่วยรายหนึ่ง ที่เคยไปหาหมอคนอื่นแล้วถูกดุ สาเหตุเนื่องจากไม่ยอมควบคุมน้ำตาล ปล่อยให้ขึ้นสูง แต่คนไข้รายนี้ไม่เคยรู้ระดับน้ำตาล ของตัวเองมาก่อนเลย และยังไปกินยาสมุนไพร
เรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การจัดการเรื่องสุขภาพไม่ใช่อำนาจของหมอ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเท่านั้น แต่เป็นบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าตัวเอง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ผลักภาระให้เขาต้องรับผิดชอบตนเอง แต่หมายความว่าเราต้องเปิดใจกว้าง ความรู้ของหมอเป็นความรู้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะนำมาเลือกใช้ว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร และจะใช้ร่วมกับอะไรจึงได้ให้ผลดีที่สุด และคนไข้รับได้มากที่สุด
จากการเป็นแพทย์ในโรงพยาบาล ปัจจุบันหันมาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย ที่ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ โดยดูแลในเรื่องนโยบาย
สาเหตุที่หันมาสนใจเรื่องคนพิการ เพราะตลอดเวลาที่เป็นหมอมีคำถามคาใจที่เราไม่สามารถตอบคนไข้ได้คือเรื่องความพิการ เราจึงพยายามหาความรู้เพื่อขจัดความสงสัยดังกล่าว
จากประสบการณ์การเรียนรู้ทางวิชาการ และการทำงานทำให้ทราบว่า แท้จริงแล้วความพิการไม่ได้เป็นปัญหาทางกายภาพ เท่านั้น แต่ถูกกำหนดจากสังคมด้วย คนพิการบางคนอาจไม่มีปัญหาในการดำเนินชีวิต แต่เพราะสังคมมองว่าเขาไม่มีศักยภาพจะทำอะไรได้ จึงลดบทบาทของเขาลง เขาพิการโดยความหมายของสังคม ไม่ใช่โดยเหตุแห่งความพิการ
ฉะนั้นสังคมจึงมองว่าคนพิการคือภาระที่คนปกติต้องคอยสงเคราะห์ เป็นการมองคนพิการในแง่ลบ ทำให้ไม่ได้ช่วยคนพิการให้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของตัวเอง เช่น เวลาทำบุญ คนบางคนอาจอยากไปทำบุญกับคนพิการ เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่เกิดมาพิการ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมได้ลดทอนคุณค่าของคนพิการ แม้แต่องค์กรที่ทำงานเพื่อคนพิการเอง ก็ยังเน้นการสงเคราะห์จนสร้างคนทัศนคติแก่ผู้พิการว่า ตนทำได้เพียงผู้ที่คอยรับความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีศักยภาพพอจะลุกขึ้นมาทำอะไร
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้วางแนวทางการทำงานไว้ 5 ด้านด้วยกัน ด้านแรกการสร้างเครือข่าย โดยการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนทัศคติการมองคนพิการใหม่ ด้านที่สองสร้างความรู้ใหม่ที่ไม่ใช่การวิจัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการให้ความรู้อีกมุมหนึ่งของคนพิการในด้านที่ประสบความสำเร็จ ด้านที่สามคือการเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวออกไปสู่สังคม ด้านที่สี่ สร้างกระบวนการพัฒนานโยบายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคนพิการ และด้านสุดท้ายสนับสนุนเครือข่ายทำงานเชิงนวัตกรรมและเปิดกว้าง ให้คนพิการเข้ามามีส่วนร่วมด้วย"
สำหรับการทำงานเพื่อผู้พิการ พญ.วัชรา ยอมรับว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการทำให้สังคมเปลี่ยนทัศคติการมองคนพิการใหม่ มองพวกเขาอย่างมนุษย์คนหนึ่งที่มีทั้งศักดิ์ศรีและศักยภาพ
บทสรุปของงานที่ทำนี้จึงยังไม่อาจหาคำตอบได้ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยเช่นไร เพราะทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบในการค้นหาคำตอบ
- อ่าน 5,034 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้