"สังคมยังมีเจตคติที่ว่า ความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นเรื่องส่วนตัวภายในของครอบครัว บุคคลภายนอก ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว บางคนยังมองด้วยซ้ำไปว่า สามีมีสิทธิตบตีภรรยาได้ เพราะถือภรรยาเป็นทรัพย์ ที่ปรนเปรอความสุขทางเพศ ซึ่งเจตคติเหล่านี้ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดความไม่ความเท่าเทียมกันทางสิทธิ ชายหญิง"
คำกล่าวของ รศ.นพ. รณชัย คงสกนธ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และกรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ที่ชีวิตอีกด้านหนึ่งได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาสังคมส่วนของความรุนแรงในครอบครัว เป็นข้อความที่สะท้อนให้เห็นความห่วงใยต่อผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ที่สังคมปล่อยปละละเลย ให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรง ต้องเผชิญกับความทุกข์นี้เพียงลำพัง
คุณหมอสำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ปี พ.ศ. 2528 ระหว่างเรียนแพทย์อยู่นั้นได้ลงเรียนที่คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ควบคู่ไปด้วย เพราะสนใจงานทางด้านกฎหมายและการเมือง
หลังจากเรียนจบแล้ว คุณหมอมาทำงานเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา จากนั้นได้ตัดสินใจมาเรียนต่อในสาขาจิตเวชศาสตร์ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
ต่อมาได้มาทำงานที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ช่วงนี้คุณหมอได้มีโอกาสทำงานร่วมกับแพทยสภาเพื่อแก้ไขข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ ตามประมวญกฎหมายอาญามาตรา 305 โดยได้เพิ่มเติมความหมายของคำว่า "สุขภาพของหญิง" ให้รวมเรื่องสุขภาพใจเข้าไปด้วย สาเหตุที่คณะทำงานพยายามเพิ่มเติมคำอธิบายข้อกฎหมายดังกล่าว ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการทำแท้ง เถื่อนที่มีจำนวนมากถึง 300,000 รายต่อปี
การได้เข้าไปทำงานดังกล่าว ทำให้คุณหมอมองเห็นปัญหาสังคมในเรื่องความรุนแรงชัดเจนขึ้น นอกเหนือจากการได้สัมผัสในฐานะจิตแพทย์ คุณหมอพบว่าสาเหตุปัญหาทางจิตใจของคนไข้ทางจิตเวช หลายส่วนมาจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคน เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ใช้ความรุนแรง ส่งผลให้รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า แล้วพยายามฆ่าตัวตาย หรือคนไข้บางคนถูกสามีทำร้ายจนเป็นโรคจิต ปัญหานี้แทบไม่มีทางออก เพราะไม่มีแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าภรรยาถูกสามีทำร้าย แล้วไปแจ้งตำรวจ ตำรวจก็จะผลักไสไล่ส่งให้กลับไปแก้ปัญหากันเอง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ซึ่งเรามักได้ยินข้ออ้างนี้เป็นประจำ แต่สุดท้ายก็ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กลายเป็นศพอยู่ในบ้าน
คุณหมอจึงลุกขึ้นมาทำงานเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว เพื่อบอกสังคมว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่ความรุนแรงในครอบครัว แต่เป็นเรื่องที่สังคมต้องหันมามองแล้วช่วยกันแก้ไข
คุณหมอทำงานนี้มา 7-8 ปีแล้ว โดยทำ 3 ด้านด้วยกัน ด้านแรกคือ การศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับลักษณะความรุนแรง รูปแบบ ขนาด สาเหตุ และวิธีแก้ปัญหา โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผลจากการศึกษาทำให้พบว่าสาเหตุที่สัมพันธ์อันหนึ่งกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวคือ การดื่มสุราของบุคคลในครอบครัว ครอบครัวที่มีสมาชิกในบ้านดื่มสุรามีโอกาสใช้ความรุนแรงเมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่ดื่มถึง 4 เท่า หากปัญหาการดื่มสุราหมดไป นอกจากแก้จนแล้ว ยังช่วยสร้างสังคมไทยให้มั่นคงยิ่งขึ้น ในแง่จิตใจภรรยาและลูกไม่ต้องหวาดกลัวถูกหัวหน้าครอบครัวทำร้าย ลูกก็เติบโตอย่างมั่นคงทางจิตใจ
ด้านที่สองคือ การสร้างเครือข่าย เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในการแก้ปัญหา เช่น ได้ร่วมมือกับมูลนิธิเพื่อนหญิง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์พึ่งได้ของกระทรวงสาธารณสุข สำนักพัฒนาสังคม ของกทม. ศูนย์บ้านพักฉุกเฉิน เป็นต้น
และด้านสุดท้ายคือ การผลักดันในเชิงนโยบาย โดยที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรมจัดทำโครงการครอบครัวสมานฉันท์ เมื่อภรรยามาขอความช่วยเหลือที่โรงพัก เราจะมีทีมสหวิชาชีพ เช่น เจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ จิตแพทย์ มาช่วยแก้ปัญหา และจะอาศัยอำนาจตามกฎหมายบังคับสามีที่กระทำความรุนแรง ผิดกฎหมายอาญาต่อภรรยาที่มาร้องทุกข์เข้าสู่โรงซ่อมสามี เพื่อบำบัดพฤติกรรมรุนแรง
นอกจากนี้ยังได้ผลักดัน พ.ร.บ. คุ้มครองป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และเข้าสู่สภาผ่านวาระที่ 1 แล้ว และกำลังจะเข้าสู่วาระที่ 2,3 ต่อไป และในขณะนี้ยังได้กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สร้างศูนย์ข้อมูลความรุนแรงแห่งชาติขึ้น เพื่อรวบรวมวิเคราะห์ สถิติในการจัดวางยุทธศาสตร์สำหรับแก้ปัญหานี้ต่อไป
รศ.นพ.รณชัย กล่าวทิ้งท้ายที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ หากสังคมไทยสามารถแก้ปัญหาความรุนแรงให้หมดสิ้นไปว่า "ถ้าเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ อาจไม่ต้องมียุทธการต่อสู้ยาเสพติด ที่ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะเด็กที่เติบโตมาในครัวครัวอบอุ่น จะมีโอกาสติดยาเสพติดน้อยลง หากสังคมไทยมีครอบครัวที่อบอุ่นไร้ความรุนแรง เราจะสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กของเราต่อไปในอนาคต ลดซึ่งปัญหาความรุนแรงในสังคมปัญหายกพวกตีกันของวัยรุ่น ปัญหาทางเพศ รวมทั้งปัญหาการทำแท้ง ที่เป็นปัญหาสังคมในปัจจุบันนี้"
- อ่าน 6,535 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้