เชื่อผมสิครับว่า เหตุการณ์ต่อไปนี้ เคยเกิดขึ้นที่ห้องตรวจแผนกผู้ป่วยนอก ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย หลายชาติหลายภาษา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางรายผ่านมาแล้วก็เลยมาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนั้นเป็นการถาวรเสียเลย.
คุณหมอไพรัชออกตรวจคนไข้บ่ายวันนั้น คุณหมอของเราไม่ได้มีอาการเขม่นตาซ้ายหรือ ตาขวาเลยแม้แต่น้อยว่า อีกสักประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นๆขึ้นในห้องตรวจ จนกระทั่งหญิงฝรั่งสูงวัยคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องตรวจด้วยสีหน้าอมทุกข์นั่นละ คุณหมอไพรัชถึงเริ่มหนักใจ
หมอไพรัช (มีสีหน้าหวั่นใจ) : เอ้อ สวัสดีครับ...How are you??
คนไข้หญิงฝรั่ง ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วไม่ยอมพูดอะไร
หมอไพรัช : Can you speak English??
คนไข้หญิงฝรั่ง มีสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเก่า แล้วรีบยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นทำนองปฏิเสธ
หมอไพรัช (กดกริ่งเรียกพยาบาลหน้าห้องตรวจ) : ช่วยตามญาติคนไข้เข้ามา หน่อยได้ไหมครับ
คุณพยาบาลเยี่ยมหน้าเข้ามามอง แล้วก็หายไปพักใหญ่ ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับหญิงสาว หน้าตาสะสวยผู้หนึ่งคุณหมอไพรัชมองดูแล้วก็สรุปว่า-หน้าตาเหมือนเป็นลูกครึ่ง
หมอไพรัช : สวัสดีครับ คุณพูดภาษาไทยหรืออังกฤษได้ไหม
ญาติ : ดิฉันพอพูดไทยได้ค่ะ
หมอไพรัช (มีสีหน้าโล่งใจ) : พอดีหมอคุยกับคนไข้ไม่รู้เรื่อง ท่าทางเธอคงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษน่ะครับ
ญาติ : คุณแม่ของดิฉันเองค่ะ แม่เป็นคนสเปน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คุณหมอจะถามอะไรคะ เดี๋ยวดิฉันจะแปลให้
หมอไพรัช : ดีเลยครับ หมออยากจะถามว่า คุณแม่ของคุณมีอาการอย่างไรบ้าง
ญาติ (หันไปทางคนไข้) : Mamacita, El quiere saber si te duele algo ?
คนไข้หญิงฝรั่ง : Si, tengo muchos problemas con mareos, y mis brazos que no sirven, y con el pecho y mis nalgas.
ญาติ : คุณแม่บอกว่าปวดหัวค่ะ
หมอไพรัช ทำหน้างงๆ พร้อมกับคิดในใจว่า... อะไรกันเนี่ย คนไข้พูดตั้งเยอะ แปลได้ความเท่านี้เองหรือ
.................................
ภาษา (Language) ในบางเวลาก็คือ ปัญหาคาใจ คืออุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นความเข้าใจระหว่างกัน (language barrier).1
คุณหมอว่าไหมครับ...บางครั้งคนเราพูดภาษาเดียวกันแท้ๆ ยังต้องสื่อกันอยู่นาน กว่าจะเกิดความเข้าใจตรงกัน ยิ่งถ้าพูดกันคนละภาษาด้วยแล้วละก็...ยิ่งแย่ใหญ่.
ผมยังมีตัวอย่างอีกหนึ่งกรณีศึกษาให้ลองดูกันครับ.
เหตุการณ์ที่สองนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลแห่งเดียวกัน แต่ต่างวัน ต่างเวลา ต่างคุณหมอและคนไข้.
วันนั้นคุณหมอดุษณีอยู่เวรห้องตรวจ เธอเป็นคุณหมอที่มีเสียงเล่าลือว่ารักษาคนไข้เก่งมาก แต่ละวันจึงมีคนไข้จำนวนมากเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เพื่อให้คุณหมอดุษณีรักษา.
คุณลุงทองคำเป็นข้าราชการบำนาญ เดิมทีเคยมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ และคุณลุงทองคำก็เป็นคนไข้คนหนึ่ง ที่อุตส่าห์เดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อพบคุณหมอคนเก่งของเรา เพราะตระเวนหาหมอมาหลายโรงพยาบาลแล้ว ยังไม่มีใครรักษาคุณลุงให้หายเลยสักคนเดียว.
หลังจากซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเรียบร้อย คุณหมอดุษณีก็สรุปว่าคุณลุงมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เทียบดูจากผลตรวจครั้งก่อนๆที่คุณลุงนำมาด้วย คุณหมอก็บอกได้ในทันใดว่าคุณลุงเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบพาหะ (hepatitis B carrier) จึงแจ้งผลการตรวจให้ทราบว่า
หมอดุษณี : คุณลุงเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดพาหะ คุณลุงไม่มีอาการอะไร แต่สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อโรคไปให้คนอื่นได้ เพราะคุณลุงมีไวรัสในร่างกายค่ะ
ลุงทองคำ (มีสีหน้าโล่งใจ) : งั้นคุณหมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อสิครับ ลุงจะได้หายป่วย
หมอดุษณี : เอ้อ...คุณลุงคะ คุณลุงติดเชื้อไวรัสนะคะ ไม่ได้ติดเชื้อแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะ- Antibiotics เขาให้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อจำพวกแบคทีเรียเท่านั้น ถ้าจะรักษาคุณลุงจริงๆ เราต้องใช้ยากลุ่ม Interferon ซึ่งราคาค่อนข้างสูง และผลการรักษาก็ไม่ได้หายขาด 100% แถมผลข้างเคียงก็มีมากด้วยนะคะ
ลุงทองคำ (มีสีหน้าไม่เข้าใจ) : งั้นผมว่า ผมกลับบ้านไปกินวิตะมินซี 1000 มก. วันละเม็ด กับเห็ดหลินจือดีกว่านะครับหมอ เพราะอาจจะหายก็ได้
หมอดุษณี : ลุงคะ...ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่าการกินวิตะมินซี 1000 มก. กับเห็ดหลินจือทุกวันแล้วจะสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้ หมอว่ากินไปก็ไม่ช่วยอะไร เปลืองเงินเปล่าๆ แต่ถ้าคุณลุงมีเงินซื้อได้ และอยากจะกินจริงๆ ก็ไม่เสียหายนะคะ
ลุงทองคำ (หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาวางลงบนโต๊ะของหมอชี้ให้ลองอ่านดู) : นี่ไงครับ ทำไมไม่มีหลักฐาน คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เขียนบอกเอาไว้ว่ากินวิตะมินซี 1000 มก. กับเห็ดหลินจือทุกวัน ช่วยรักษาโรคติดเชื้อไวรัสได้ เห็นไหมครับยังมีรูปคุณหมอผู้ชายคนนี้ยืนถือขวดยาเลย แสดงว่ามันคงช่วยได้จริงนะครับ ไม่งั้นคุณหมอแกคงไม่กล้ามายืนโฆษณาให้หรอก
................................
เป็นยังไงบ้างครับ...
หลายท่านอาจรู้สึกสงสารคุณหมอดุษณีว่าจะต้องอธิบายอย่างไรดี เพื่อจะให้คุณลุงทองคำเข้าใจ บางท่านอาจรู้สึกหงุดหงิดว่า เหตุใดคุณลุงทองคำจึงเข้าใจอะไรยากเสียเหลือเกิน ทั้งที่ตัวเองก็เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อน.
กรณีศึกษาที่หนึ่ง แสดงให้เห็นอุปสรรคซึ่งเกิดขึ้น เมื่อหมอและคนไข้พูดภาษาแตกต่างกัน.
กรณีศึกษาที่สอง แสดงให้เห็นว่าถึงแม้หมอและคนไข้จะพูดภาษาเดียวกัน อุปสรรคหรือ language barrier ก็ไม่ได้หมดไป ในเมื่อหมอพูด "ภาษาหมอ" และคนไข้พูด "ภาษาคนไข้".
ทั้งสองกรณีล้วนเป็น language barrier ที่คุณหมอสามารถพบได้ในเวชปฏิบัติประจำวัน โดยเฉพาะกรณีพูดต่างภาษากันอย่างกรณีศึกษาที่หนึ่งนั้น มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกภูมิภาคของโลก เพราะวันนี้การเดินทางไปมาหาสู่กัน การหลั่งไหลของผู้คนและวัฒนธรรม เป็นไปได้อย่างง่ายดายกว่าเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน.2
ที่ผมยกตัวอย่างนั้นเป็นคุณหมอกับคนไข้ที่พูดภาษาสเปน แต่ในชีวิตจริงของเรา นอกจากภาษา ตระกูลหลักๆของโลก อันได้แก่ ภาษาสเปน, ภาษาจีน, ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมันแล้ว ยังมีภาษา ระกูลย่อยๆอีกมากมายที่คนไข้ใช้ในชีวิตประจำวัน และคนไข้เหล่านั้นก็มีโอกาสจะเดินเข้ามาหาแพทย์ ให้ตรวจรักษาได้ตลอดเวลา.
คุณหมอที่ทำงานในจังหวัดแถวตะเข็บชายแดนภาคเหนือ คงจะมีคนไข้พูดภาษาเย้า ภาษากะเหรี่ยง ภาษามูเซอร์มาให้รักษาเป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละวัน ขณะที่คุณหมอซึ่งทำงานทางชายแดนด้านตะวันตกของประเทศก็จะพบคนไข้พูดภาษาพม่า ภาษากะเหรี่ยง ส่วนคุณหมอที่ปฏิบัติงานที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงพบคนไข้พูดภาษายาวี ภาษามาเลย์แทบทุกวัน.
ถ้าคนไข้เหล่านั้น สามารถพูดภาษาไทยหรืออังกฤษได้อย่างชำนาญ หรือคุณหมอเป็นคนท้องถิ่น สามารถพูดภาษาที่สองหรือสาม สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี ปัญหาก็คงจะหมดไป.
แต่ถ้าคนไข้เหล่านั้น พูดภาษาไทยหรืออังกฤษไม่ได้เลย คุณหมอคงได้แต่นั่งกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่าจะส่งภาษาเจรจากันอย่างไรดี.
ถ้ามีญาติมาด้วย และญาติสามารถพูดได้หลายภาษา ก็จะช่วยเป็นล่ามให้ได้ ปัญหาก็หมดไปหนึ่งระดับ แต่อย่าลืมนะครับว่า การเป็นล่ามนั้นมีข้อจำกัดและไม่ใช่เรื่องง่าย.
ล่ามอาจจะแปลแบบสรุปสั้นๆ อย่างลูกสาวของคนไข้กรณีศึกษาที่หนึ่งทำ.
หรือล่ามอาจจะเพิ่มเติมความคิด ความเห็นของตนเองลงไปโดยที่หมออาจจะไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าข้อความตรงไหนเป็นสิ่งที่คนไข้พูด ข้อความตรงไหนล่ามแอบเพิ่มเติมลงไปเอง.
คุณหมอก็คงจะทราบดีว่า ในโลกปัจจุบันที่ระบบสุขภาพของเราเปลี่ยนแปลงไป มีกรณีฟ้องร้องแพทย์และบุคลากรการแพทย์มากขึ้นทุกขณะ การพูดจาซักประวัติคนไข้ การพูดจาอธิบายวิธีการรักษา การพูดอธิบายคนไข้ว่าจะต้องดูแลและปฏิบัติตัวอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก.
แล้วจะทำอย่างไรดี...คุณหมอคงมีข้อสงสัยภายในใจ...จะต้องไปเรียนภาษาอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ จำเป็นด้วยหรือ...
ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
1. ก่อนอื่นเลย ผมมีความเสียใจที่จะต้องเรียนให้ทราบว่าการเรียนภาษาที่สองหรือที่สามเพิ่มเติม อาจเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากในพื้นที่ซึ่งคุณหมอทำงานอยู่นั้น มีประชากรพูดภาษาอื่นอยู่เป็นจำนวนมาก.
โรงพยาบาลหลายแห่งที่อยู่ติดชายแดนพม่า มีประชากรพม่า, ประชากรกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในพื้นที่มากกว่าประชากรไทย คนเหล่านั้นส่วนมากแล้วพูดภาษาไทยไม่ได้ หรือถ้าได้ก็สื่อสารได้ไม่ชัดเจน ทำให้คุณหมอลำบากใจในการดูแลรักษา แต่ถ้าคุณหมอสามารถเข้าใจภาษาของเขา นั่นจะช่วยให้คุณหมอดูแลคนไข้ได้ง่ายขึ้น.
คุณหมอมีงานมาก มีเวลาน้อย ที่จริงอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอื่นอย่างละเอียดก็ได้ครับ แต่อย่างน้อยคุณหมอควรจะรู้คำหลักๆที่คนไข้มักจะใช้เวลาที่มาหาหมอ เช่น คำว่าไข้, ปวดหัว, ปวดท้อง, ประจำเดือน เป็นต้น
ผมเคยได้ยินมาว่า มีโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งในบ้านเรา ที่มีคนไข้ชาวญี่ปุ่นมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ถึงกับจ้างครูสอนภาษาญี่ปุ่นมาสอนให้แพทย์และบุคลากรฟรี เพื่อให้สามารถสื่อสารกับคนไข้ได้อย่างเข้าใจ นับเป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ เพราะนั่นไม่ใช่การเพิ่มความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มารับบริการเพียงอย่างเดียว แต่ผมเข้าใจว่าจุดประสงค์สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลคนไข้ให้เต็มที่ ลดความผิดพลาดในเวชปฏิบัติ และสามารถช่วยลดอัตราการฟ้องร้องที่เกิดจากการสื่อสารผิดพลาดลงไปได้อย่างมากอีกด้วยครับ.
2. ในโรงพยาบาลบางแห่งก็แก้ปัญหาด้วยการจ้างคนในพื้นที่ซึ่งสามารถสื่อสารภาษาถิ่น, ภาษาที่สองได้เป็นอย่างดีมาทำงาน เมื่อมีคนไข้ที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ บุคลากรกลุ่มนี้ก็จะช่วยเป็นคนกลางในการสื่อสารให้.
บุคลากรกลุ่มนี้ มักจะเป็นล่ามที่มีคุณภาพ เพราะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว จึงสามารถสื่อสารกับคนไข้ได้ตรงประเด็น และได้ข้อมูลที่คุณหมอต้องการทราบ.
3. คนไข้บางรายจะมีญาติมาด้วย และญาติสามารถเป็นล่ามให้หมอได้ กรณีนี้จะแตกต่างจากข้อ 2. เพราะการแปลข้อความของคนไข้ให้คุณหมอฟังนั้นจะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ, อาชีพและประสบการณ์ของผู้ที่เป็นล่ามนั้น.3
ในกรณีที่ญาติของคนไข้เป็นล่ามให้คุณหมอ ผมแนะนำดังนี้ครับ
- คุณหมอควรจะต้องบอกกับล่ามอย่างชัดเจนว่า ขอให้ช่วยแปลข้อความของคนไข้ทุกคำ และไม่เพิ่มเติมข้อความหรือความเห็นใดที่คนไข้ไม่ได้พูดลงไป.
- ในทางกลับกัน คุณหมออย่าลืมบอกล่ามให้แปลคำพูดของคุณหมอที่พูดกับคนไข้ทุกคำ รวมถึงไม่เพิ่มเติมข้อความหรือความเห็นใดลงไปด้วยนะครับ.
- ในกรณีที่คำบางคำมีข้อจำกัด ไม่สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้โดยตรง ล่ามอาจจะอธิบายเพิ่มเติมให้คุณหมอเข้าใจได้.
- และสำคัญที่สุดคือการเลือกล่าม หากคุณหมอเลือกได้ ควรเลือกญาติที่มีระดับการศึกษาดีก่อนญาติที่มีระดับการศึกษาต่ำ.
คุณหมอใช้ความสังเกตความสัมพันธ์ของตัวล่ามกับคนไข้ด้วยนะครับ เพราะหากญาติที่ทำหน้าที่เป็นล่ามและตัวคนไข้มีข้อขัดแย้งกัน การแปลความหมายอาจไม่ได้ผลดี หรือคนไข้อาจจะกลัวล่ามจนไม่ยอมพูดอะไรมากก็เป็นได้ครับ.4
4. ในกรณีที่คุณหมอทำงานอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีหน่วยงานช่วยสนับสนุนทางด้านภาษา เช่น สมาคมนักแปล, โรงเรียนบางแห่งที่มีอาจารย์ผู้ชำนาญในการสอนภาษาต่างประเทศ เป็นต้น อย่าหลงลืมหน่วยงานเหล่านี้ไปนะครับ เพราะในกรณีที่มีความจำเป็นและต้องการความช่วยเหลือเรื่องการเป็นล่ามแปล หน่วยงานต่างๆเหล่านี้ อาจเป็นตัวช่วยให้แก่คุณหมอได้เป็นอย่างดี.
................
ผมหวังว่าคำแนะนำดังกล่าวคงจะมีประโยชน์กับคุณหมอ ในยามที่พบคนไข้ที่พูดกันต่างภาษาได้พอสมควรครับ.
เราเพิ่งคุยกันไปเรื่องกรณีศึกษาที่หนึ่ง-พูดต่างภาษาเองนะครับ.
Language barrier ยังเหลือกรณีศึกษาที่สอง-พูดคนละภาษาเดียวกัน อีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งผมขอยกไปคุยกันต่อในเดือนหน้าครับ.
เอกสารอ้างอิง
1. Ferguson WJ, Candib LM. Culture, Language, And the doctor-patient relationship. Fam Med 2002;34:353-61.
2. Anderson JM, Waxler-Morrison N, Richardson E, et al. Delivering Culturally Sensitive Health Care. In : Waxler-Morrison N, Anderson JM, Richardson E, eds. Cross cultural caring : a Handbook for Health Professionals. Vancouver, BC : UBC Press, 2005.
3. Kelly L, Brown JB. Listening to native patients. Changes in Physicians understanding and behavior. Can Fam Phys 2002;48:1645-52.
4. Putch RW. Cross Cultural Communication : The Special Care of Interpreters in Health Care. JAMA 1988;254:2244-8.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 4,778 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้