Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » ไหน...พูดว่าอะไรนะ ?
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไหน...พูดว่าอะไรนะ ?

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 สิงหาคม 2550 00:00

เชื่อผมสิครับว่า เหตุการณ์ต่อไปนี้ เคยเกิดขึ้นที่ห้องตรวจแผนกผู้ป่วยนอก ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย หลายชาติหลายภาษา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางรายผ่านมาแล้วก็เลยมาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนั้นเป็นการถาวรเสียเลย.

คุณหมอไพรัชออกตรวจคนไข้บ่ายวันนั้น คุณหมอของเราไม่ได้มีอาการเขม่นตาซ้ายหรือ ตาขวาเลยแม้แต่น้อยว่า อีกสักประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นๆขึ้นในห้องตรวจ จนกระทั่งหญิงฝรั่งสูงวัยคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องตรวจด้วยสีหน้าอมทุกข์นั่นละ คุณหมอไพรัชถึงเริ่มหนักใจ

หมอไพรัช (มีสีหน้าหวั่นใจ) : เอ้อ สวัสดีครับ...How are you??
คนไข้หญิงฝรั่ง ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วไม่ยอมพูดอะไร
หมอไพรัช : Can you speak English??
คนไข้หญิงฝรั่ง มีสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเก่า แล้วรีบยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นทำนองปฏิเสธ
หมอไพรัช (กดกริ่งเรียกพยาบาลหน้าห้องตรวจ) : ช่วยตามญาติคนไข้เข้ามา หน่อยได้ไหมครับ

คุณพยาบาลเยี่ยมหน้าเข้ามามอง แล้วก็หายไปพักใหญ่ ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับหญิงสาว หน้าตาสะสวยผู้หนึ่งคุณหมอไพรัชมองดูแล้วก็สรุปว่า-หน้าตาเหมือนเป็นลูกครึ่ง

หมอไพรัช :
สวัสดีครับ คุณพูดภาษาไทยหรืออังกฤษได้ไหม
ญาติ : ดิฉันพอพูดไทยได้ค่ะ
หมอไพรัช (มีสีหน้าโล่งใจ) : พอดีหมอคุยกับคนไข้ไม่รู้เรื่อง ท่าทางเธอคงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษน่ะครับ
ญาติ :
คุณแม่ของดิฉันเองค่ะ แม่เป็นคนสเปน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คุณหมอจะถามอะไรคะ เดี๋ยวดิฉันจะแปลให้
หมอไพรัช : ดีเลยครับ หมออยากจะถามว่า คุณแม่ของคุณมีอาการอย่างไรบ้าง
ญาติ (หันไปทางคนไข้) : Mamacita, El quiere saber si te duele algo ?
คนไข้หญิงฝรั่ง : Si, tengo muchos problemas con mareos, y mis brazos que no sirven, y con el pecho y mis nalgas.
ญาติ : คุณแม่บอกว่าปวดหัวค่ะ
หมอไพรัช ทำหน้างงๆ พร้อมกับคิดในใจว่า... อะไรกันเนี่ย คนไข้พูดตั้งเยอะ แปลได้ความเท่านี้เองหรือ
.................................

ภาษา (Language) ในบางเวลาก็คือ ปัญหาคาใจ คืออุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นความเข้าใจระหว่างกัน (language barrier).1

คุณหมอว่าไหมครับ...บางครั้งคนเราพูดภาษาเดียวกันแท้ๆ ยังต้องสื่อกันอยู่นาน กว่าจะเกิดความเข้าใจตรงกัน ยิ่งถ้าพูดกันคนละภาษาด้วยแล้วละก็...ยิ่งแย่ใหญ่.

ผมยังมีตัวอย่างอีกหนึ่งกรณีศึกษาให้ลองดูกันครับ.

เหตุการณ์ที่สองนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลแห่งเดียวกัน แต่ต่างวัน ต่างเวลา ต่างคุณหมอและคนไข้.

วันนั้นคุณหมอดุษณีอยู่เวรห้องตรวจ เธอเป็นคุณหมอที่มีเสียงเล่าลือว่ารักษาคนไข้เก่งมาก แต่ละวันจึงมีคนไข้จำนวนมากเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เพื่อให้คุณหมอดุษณีรักษา.

คุณลุงทองคำเป็นข้าราชการบำนาญ เดิมทีเคยมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ และคุณลุงทองคำก็เป็นคนไข้คนหนึ่ง ที่อุตส่าห์เดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อพบคุณหมอคนเก่งของเรา เพราะตระเวนหาหมอมาหลายโรงพยาบาลแล้ว ยังไม่มีใครรักษาคุณลุงให้หายเลยสักคนเดียว.

หลังจากซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเรียบร้อย คุณหมอดุษณีก็สรุปว่าคุณลุงมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เทียบดูจากผลตรวจครั้งก่อนๆที่คุณลุงนำมาด้วย คุณหมอก็บอกได้ในทันใดว่าคุณลุงเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบพาหะ (hepatitis B carrier) จึงแจ้งผลการตรวจให้ทราบว่า

หมอดุษณี : คุณลุงเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดพาหะ คุณลุงไม่มีอาการอะไร แต่สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อโรคไปให้คนอื่นได้ เพราะคุณลุงมีไวรัสในร่างกายค่ะ
ลุงทองคำ (มีสีหน้าโล่งใจ) : งั้นคุณหมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อสิครับ ลุงจะได้หายป่วย
หมอดุษณี : เอ้อ...คุณลุงคะ คุณลุงติดเชื้อไวรัสนะคะ ไม่ได้ติดเชื้อแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะ- Antibiotics เขาให้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อจำพวกแบคทีเรียเท่านั้น ถ้าจะรักษาคุณลุงจริงๆ เราต้องใช้ยากลุ่ม Interferon ซึ่งราคาค่อนข้างสูง และผลการรักษาก็ไม่ได้หายขาด 100% แถมผลข้างเคียงก็มีมากด้วยนะคะ
ลุงทองคำ (มีสีหน้าไม่เข้าใจ) : งั้นผมว่า ผมกลับบ้านไปกินวิตะมินซี 1000 มก. วันละเม็ด กับเห็ดหลินจือดีกว่านะครับหมอ เพราะอาจจะหายก็ได้
หมอดุษณี : ลุงคะ...ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่าการกินวิตะมินซี 1000 มก. กับเห็ดหลินจือทุกวันแล้วจะสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้ หมอว่ากินไปก็ไม่ช่วยอะไร เปลืองเงินเปล่าๆ แต่ถ้าคุณลุงมีเงินซื้อได้ และอยากจะกินจริงๆ ก็ไม่เสียหายนะคะ
ลุงทองคำ (หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาวางลงบนโต๊ะของหมอชี้ให้ลองอ่านดู) : นี่ไงครับ ทำไมไม่มีหลักฐาน คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เขียนบอกเอาไว้ว่ากินวิตะมินซี 1000 มก. กับเห็ดหลินจือทุกวัน ช่วยรักษาโรคติดเชื้อไวรัสได้ เห็นไหมครับยังมีรูปคุณหมอผู้ชายคนนี้ยืนถือขวดยาเลย แสดงว่ามันคงช่วยได้จริงนะครับ ไม่งั้นคุณหมอแกคงไม่กล้ามายืนโฆษณาให้หรอก
................................

เป็นยังไงบ้างครับ...
หลายท่านอาจรู้สึกสงสารคุณหมอดุษณีว่าจะต้องอธิบายอย่างไรดี เพื่อจะให้คุณลุงทองคำเข้าใจ บางท่านอาจรู้สึกหงุดหงิดว่า เหตุใดคุณลุงทองคำจึงเข้าใจอะไรยากเสียเหลือเกิน ทั้งที่ตัวเองก็เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อน.

กรณีศึกษาที่หนึ่ง แสดงให้เห็นอุปสรรคซึ่งเกิดขึ้น เมื่อหมอและคนไข้พูดภาษาแตกต่างกัน.
กรณีศึกษาที่สอง แสดงให้เห็นว่าถึงแม้หมอและคนไข้จะพูดภาษาเดียวกัน อุปสรรคหรือ language barrier ก็ไม่ได้หมดไป ในเมื่อหมอพูด "ภาษาหมอ" และคนไข้พูด "ภาษาคนไข้".

ทั้งสองกรณีล้วนเป็น language barrier ที่คุณหมอสามารถพบได้ในเวชปฏิบัติประจำวัน โดยเฉพาะกรณีพูดต่างภาษากันอย่างกรณีศึกษาที่หนึ่งนั้น มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกภูมิภาคของโลก เพราะวันนี้การเดินทางไปมาหาสู่กัน การหลั่งไหลของผู้คนและวัฒนธรรม เป็นไปได้อย่างง่ายดายกว่าเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน.2

ที่ผมยกตัวอย่างนั้นเป็นคุณหมอกับคนไข้ที่พูดภาษาสเปน แต่ในชีวิตจริงของเรา นอกจากภาษา ตระกูลหลักๆของโลก อันได้แก่ ภาษาสเปน, ภาษาจีน, ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมันแล้ว ยังมีภาษา ระกูลย่อยๆอีกมากมายที่คนไข้ใช้ในชีวิตประจำวัน และคนไข้เหล่านั้นก็มีโอกาสจะเดินเข้ามาหาแพทย์ ให้ตรวจรักษาได้ตลอดเวลา.

คุณหมอที่ทำงานในจังหวัดแถวตะเข็บชายแดนภาคเหนือ คงจะมีคนไข้พูดภาษาเย้า ภาษากะเหรี่ยง ภาษามูเซอร์มาให้รักษาเป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละวัน ขณะที่คุณหมอซึ่งทำงานทางชายแดนด้านตะวันตกของประเทศก็จะพบคนไข้พูดภาษาพม่า ภาษากะเหรี่ยง ส่วนคุณหมอที่ปฏิบัติงานที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงพบคนไข้พูดภาษายาวี ภาษามาเลย์แทบทุกวัน.

ถ้าคนไข้เหล่านั้น สามารถพูดภาษาไทยหรืออังกฤษได้อย่างชำนาญ หรือคุณหมอเป็นคนท้องถิ่น สามารถพูดภาษาที่สองหรือสาม สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี ปัญหาก็คงจะหมดไป.

แต่ถ้าคนไข้เหล่านั้น พูดภาษาไทยหรืออังกฤษไม่ได้เลย คุณหมอคงได้แต่นั่งกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่าจะส่งภาษาเจรจากันอย่างไรดี.

ถ้ามีญาติมาด้วย และญาติสามารถพูดได้หลายภาษา ก็จะช่วยเป็นล่ามให้ได้ ปัญหาก็หมดไปหนึ่งระดับ แต่อย่าลืมนะครับว่า การเป็นล่ามนั้นมีข้อจำกัดและไม่ใช่เรื่องง่าย.

ล่ามอาจจะแปลแบบสรุปสั้นๆ อย่างลูกสาวของคนไข้กรณีศึกษาที่หนึ่งทำ.
หรือล่ามอาจจะเพิ่มเติมความคิด ความเห็นของตนเองลงไปโดยที่หมออาจจะไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าข้อความตรงไหนเป็นสิ่งที่คนไข้พูด ข้อความตรงไหนล่ามแอบเพิ่มเติมลงไปเอง.

คุณหมอก็คงจะทราบดีว่า ในโลกปัจจุบันที่ระบบสุขภาพของเราเปลี่ยนแปลงไป มีกรณีฟ้องร้องแพทย์และบุคลากรการแพทย์มากขึ้นทุกขณะ การพูดจาซักประวัติคนไข้ การพูดจาอธิบายวิธีการรักษา การพูดอธิบายคนไข้ว่าจะต้องดูแลและปฏิบัติตัวอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก.

แล้วจะทำอย่างไรดี...คุณหมอคงมีข้อสงสัยภายในใจ...จะต้องไปเรียนภาษาอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ จำเป็นด้วยหรือ...

ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
1. ก่อนอื่นเลย ผมมีความเสียใจที่จะต้องเรียนให้ทราบว่าการเรียนภาษาที่สองหรือที่สามเพิ่มเติม อาจเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากในพื้นที่ซึ่งคุณหมอทำงานอยู่นั้น มีประชากรพูดภาษาอื่นอยู่เป็นจำนวนมาก.
โรงพยาบาลหลายแห่งที่อยู่ติดชายแดนพม่า มีประชากรพม่า, ประชากรกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในพื้นที่มากกว่าประชากรไทย คนเหล่านั้นส่วนมากแล้วพูดภาษาไทยไม่ได้ หรือถ้าได้ก็สื่อสารได้ไม่ชัดเจน ทำให้คุณหมอลำบากใจในการดูแลรักษา แต่ถ้าคุณหมอสามารถเข้าใจภาษาของเขา นั่นจะช่วยให้คุณหมอดูแลคนไข้ได้ง่ายขึ้น.

คุณหมอมีงานมาก มีเวลาน้อย ที่จริงอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอื่นอย่างละเอียดก็ได้ครับ แต่อย่างน้อยคุณหมอควรจะรู้คำหลักๆที่คนไข้มักจะใช้เวลาที่มาหาหมอ เช่น คำว่าไข้, ปวดหัว, ปวดท้อง, ประจำเดือน เป็นต้น

ผมเคยได้ยินมาว่า มีโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งในบ้านเรา ที่มีคนไข้ชาวญี่ปุ่นมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ถึงกับจ้างครูสอนภาษาญี่ปุ่นมาสอนให้แพทย์และบุคลากรฟรี เพื่อให้สามารถสื่อสารกับคนไข้ได้อย่างเข้าใจ นับเป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ เพราะนั่นไม่ใช่การเพิ่มความพึงพอใจให้กับคนไข้ที่มารับบริการเพียงอย่างเดียว แต่ผมเข้าใจว่าจุดประสงค์สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลคนไข้ให้เต็มที่ ลดความผิดพลาดในเวชปฏิบัติ และสามารถช่วยลดอัตราการฟ้องร้องที่เกิดจากการสื่อสารผิดพลาดลงไปได้อย่างมากอีกด้วยครับ.

2. ในโรงพยาบาลบางแห่งก็แก้ปัญหาด้วยการจ้างคนในพื้นที่ซึ่งสามารถสื่อสารภาษาถิ่น, ภาษาที่สองได้เป็นอย่างดีมาทำงาน เมื่อมีคนไข้ที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ บุคลากรกลุ่มนี้ก็จะช่วยเป็นคนกลางในการสื่อสารให้.

บุคลากรกลุ่มนี้ มักจะเป็นล่ามที่มีคุณภาพ เพราะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว จึงสามารถสื่อสารกับคนไข้ได้ตรงประเด็น และได้ข้อมูลที่คุณหมอต้องการทราบ.

3. คนไข้บางรายจะมีญาติมาด้วย และญาติสามารถเป็นล่ามให้หมอได้ กรณีนี้จะแตกต่างจากข้อ 2. เพราะการแปลข้อความของคนไข้ให้คุณหมอฟังนั้นจะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ, อาชีพและประสบการณ์ของผู้ที่เป็นล่ามนั้น.3

ในกรณีที่ญาติของคนไข้เป็นล่ามให้คุณหมอ ผมแนะนำดังนี้ครับ
- คุณหมอควรจะต้องบอกกับล่ามอย่างชัดเจนว่า ขอให้ช่วยแปลข้อความของคนไข้ทุกคำ และไม่เพิ่มเติมข้อความหรือความเห็นใดที่คนไข้ไม่ได้พูดลงไป.
- ในทางกลับกัน คุณหมออย่าลืมบอกล่ามให้แปลคำพูดของคุณหมอที่พูดกับคนไข้ทุกคำ รวมถึงไม่เพิ่มเติมข้อความหรือความเห็นใดลงไปด้วยนะครับ.
- ในกรณีที่คำบางคำมีข้อจำกัด ไม่สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้โดยตรง ล่ามอาจจะอธิบายเพิ่มเติมให้คุณหมอเข้าใจได้.
- และสำคัญที่สุดคือการเลือกล่าม หากคุณหมอเลือกได้ ควรเลือกญาติที่มีระดับการศึกษาดีก่อนญาติที่มีระดับการศึกษาต่ำ.

คุณหมอใช้ความสังเกตความสัมพันธ์ของตัวล่ามกับคนไข้ด้วยนะครับ เพราะหากญาติที่ทำหน้าที่เป็นล่ามและตัวคนไข้มีข้อขัดแย้งกัน การแปลความหมายอาจไม่ได้ผลดี หรือคนไข้อาจจะกลัวล่ามจนไม่ยอมพูดอะไรมากก็เป็นได้ครับ.4

4. ในกรณีที่คุณหมอทำงานอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีหน่วยงานช่วยสนับสนุนทางด้านภาษา เช่น สมาคมนักแปล, โรงเรียนบางแห่งที่มีอาจารย์ผู้ชำนาญในการสอนภาษาต่างประเทศ เป็นต้น อย่าหลงลืมหน่วยงานเหล่านี้ไปนะครับ เพราะในกรณีที่มีความจำเป็นและต้องการความช่วยเหลือเรื่องการเป็นล่ามแปล หน่วยงานต่างๆเหล่านี้ อาจเป็นตัวช่วยให้แก่คุณหมอได้เป็นอย่างดี.
................

ผมหวังว่าคำแนะนำดังกล่าวคงจะมีประโยชน์กับคุณหมอ ในยามที่พบคนไข้ที่พูดกันต่างภาษาได้พอสมควรครับ.

เราเพิ่งคุยกันไปเรื่องกรณีศึกษาที่หนึ่ง-พูดต่างภาษาเองนะครับ.
Language barrier ยังเหลือกรณีศึกษาที่สอง-พูดคนละภาษาเดียวกัน อีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งผมขอยกไปคุยกันต่อในเดือนหน้าครับ.

เอกสารอ้างอิง
1. Ferguson WJ, Candib LM. Culture, Language, And the doctor-patient relationship. Fam Med 2002;34:353-61.
2. Anderson JM, Waxler-Morrison N, Richardson E, et al. Delivering Culturally Sensitive Health Care. In : Waxler-Morrison N, Anderson JM, Richardson E, eds. Cross cultural caring : a Handbook for Health Professionals. Vancouver, BC : UBC Press, 2005.
3. Kelly L, Brown JB. Listening to native patients. Changes in Physiciansž understanding and behavior. Can Fam Phys 2002;48:1645-52.
4. Putch RW. Cross Cultural Communication : The Special Care of Interpreters in Health Care. JAMA 1988;254:2244-8.
 
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี

ป้ายคำ:
  • กรณีศึกษา
  • คุยสุขภาพ
  • อื่น ๆ
  • ปิยวาจาทางคลินิก
  • นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ
  • อ่าน 5,087 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

272-018
วารสารคลินิก 272
สิงหาคม 2550
ปิยวาจาทางคลินิก
นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <