Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » CT 64 slice เสี่ยงต่อมะเร็ง
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

CT 64 slice เสี่ยงต่อมะเร็ง

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 กันยายน 2550 00:00

Disclaimer : รายงานการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มีมากมายมหาศาล ในขณะนี้เป็นสิ่งที่ต้องติดตามเป็นอย่างยิ่ง คอลัมน์นี้ได้สรุปรายงานการศึกษาที่น่าสนใจที่ลงในวารสารทางการแพทย์ที่ผ่าน peer review มาให้สมาชิกทราบ แต่ข้อพึงระวังคือ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่มีการรายงานการศึกษาจะมีความถูกต้องเป็นสัจจะ เพราะไม่มีอะไรถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางการแพทย์ ความรู้ ความเชื่อ ณ วันนี้อาจได้การยอมรับ แต่ความรู้ใหม่ๆ ในวันหน้าก็สามารถลบล้างความรู้ ความเชื่อในวันนี้ได้เช่นกัน.

วิชัย เอกพลากร พ.บ., Ph.D.
รองศาสตราจารย์, ศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล


CT 64 slice เสี่ยงต่อมะเร็ง
Einstein AJ, et al. Estimating Risk of Cancer Associated With Radiation Exposure From 64-Slice Computed Tomography Coronary Angiography. JAMA 2007; 298:317-23.
ปัจจุบัน เทคโนโลยีการตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ 64 slices (computed tomography coronary angiography, CTCA) เป็นที่นิยมมากขึ้น ผลตรวจยังมีความแม่นยำค่อนข้างสูง และดูเหมือนว่ามีอันตรายน้อยกว่าการตรวจแบบเดิม แต่น้อยคนนักที่จะพูดถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากรังสีที่ร่างกายได้รับจากการตรวจวิธีนี้.

การวิจัยโดยวิธีคำนวณทางสถิติในการประมาณความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในช่วงชีวิตหนึ่ง เนื่องจากได้รับรังสี พบว่า ปริมาณรังสีที่ปอดได้รับเท่ากับ 42- 91 mSv ที่เต้านมในผู้หญิงได้รับ เท่ากับ 50-80 mSv เมื่อคำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากการตรวจ 1 ครั้ง ในสตรีอายุ 20 ปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในภายหลังเท่ากับ 1 ใน 143 คน และเท่ากับ 1 ใน 3,261 คน ในชายอายุ 80 ปี ถ้าใช้การตรวจที่เรียก electrocardiographically controlled tube current modulation (ECTCM) ซึ่งวิธีนี้ลดปริมาณรังสีที่ร่างกายได้รับตามจังหวะหัวใจ ทำให้โอกาสเสี่ยงต่อเป็นมะเร็งลดลงเป็น 1 ใน 219 คน และ 1 ใน 5,017 คน ตามลำดับ. ถ้าตรวจด้วยวิธี ECTM ในชาย หรือหญิงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งจะเท่ากับ 1 ใน 1911 คน และ 1 ใน 715 คน ตามลำดับ และถ้าสแกน aorta ด้วยจะทำให้ได้รับรังสีเพิ่มขึ้น โอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งในหญิงอายุ 20 ปีขึ้นไปจะเพิ่มชึ้นเป็น 1 ใน 114 คน อวัยวะที่เสี่ยงต่อมะเร็งมากที่สุดคือ ปอดและเต้านม.

สรุป จากการศึกษาด้วยวิธีทางสถิตินี้พบว่า การตรวจสแกนด้วย CT 64 slices เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งไม่น้อย จึงไม่ควรมองข้ามความปลอดภัย โดยเฉพาะในหญิงอายุน้อยและผู้ที่สแกนทั้งหัวใจ และหลอดเลือด aorta.

การศึกษานี้ ไม่ใช่ผลการศึกษาทางระบาดวิทยาที่ได้จากผู้ป่วยจริง แต่เป็นการคำนวณประมาณการทางสถิติโดยอิงหลักวิชาการจึงมีโอกาสคลาดเคลื่อน ได้ แต่ความจริงคือ รังสีที่ร่างกายได้รับจาก CT นั้นสูงกว่าการเอกซเรย์ทั่วไปมาก. การเอกซเรย์ปอดร่างกายได้รังสี 0.04-0.1 mSV เท่านั้น. นอกจากนี้ FDA ของสหรัฐอเมริกา ได้มีคำเตือนไว้ว่า การได้รับรังสีจากการทำ CT ขนาด 10 mSv นั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเป็น 1 ใน 2,000 ราย ดังนั้นจึงไม่อาจมองข้ามผลการศึกษานี้ได้.


ยาเบาหวานรุ่นเก่าไม่แพ้ยารุ่นใหม่
Bolen S, et al. Systematic Review : Comparative Effectiveness and Safety of Oral Medications for Type 2 Diabetes Mellitus Annals of Internal Medicine 18 September 2007 Volume 147 Issue 6.

ขณะนี้มียาเบาหวานรุ่นใหม่ออกมาวางจำหน่ายตามท้องตลาดมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติยารุ่นใหม่นี้คุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ผลดีกว่ายาเก่าหรือไม่.

รายงานทบทวนงานวิจัย 218 ชิ้นจากหลายฐานข้อมูล ได้แก่ MEDLINE, EMBASE และ Cochrane Central Register of Controlled Trials โดย 2 ชิ้นเป็น systematic reviews. ตัวชี้วัดผลของการศึกษาคือ อัตราตายและการป่วยด้วยโรคหัวใจและ หลอดเลือด ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด ความดันเลือด และอาการข้างเคียงของยา.

ด้านตัวชี้วัดอัตราตายรวมและตายด้วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆยังไม่พบว่ายารักษาเบาหวานชนิดกินได้ผลดีชัดเจน และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างยาใหม่และเก่ามีความแตกต่างกันน้อย.

ส่วนการเปรียบเทียบผลทางคลินิก พบว่ายาเบาหวานชนิดกินส่วนใหญ่ ได้แก่ thiazolidinediones, metformin และ repaglinide สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีพอๆกับกลุ่ม sulfonylureas. ส่วน nateglinide และ alpha-glucosidase inhibitor ได้ผลน้อยกว่าเล็กน้อย. สำหรับ thiazolidinediones เป็นยากลุ่มเดียวที่เพิ่มระดับ HDL ได้ ( เพิ่มประมาณ 3-5 มก./ ดล.) แต่ก็เพิ่ม LDL-C เช่นกัน (10 มก./ดล.). ยา metformin ลด LDL-C ได้ประมาณ 10 มก./ดล. ส่วนยากลุ่มอื่นไม่มีผลต่อ LDL-C ด้านผลต่อน้ำหนักตัว พบว่ายาทุกกลุ่ม (ยกเว้น metformin) ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มประมาณ 1-5 กก. sulfonylurea และ repaglinide ทำให้เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ. ยา thiazolidoiones มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายมากขึ้น ส่วน metformin มีผลข้างเคียงคืออาการทางระบบทางเดินอาหาร ส่วนภาวะ lactic acidosis เป็นภาวะที่พบไม่บ่อยในผู้ป่วยที่ไม่มีโรคร่วมอื่นๆ.

สรุป
ยารุ่นใหม่ซึ่งราคาแพง (กลุ่ม thiazolidinediones, α-glucosidase inhibitors, and meglitinides) นั้นไม่ได้ผลในการคุมระดับน้ำตาล ไขมัน และผลทางคลินิกอื่นๆ ในผู้ป่วยเบาหวาน ดีไปกว่ายาเก่า (sulfonylureas รุ่นที่สอง และ metformin).

ข้อจำกัดของการศึกษานี้คือ ข้อมูลได้จากการทบทวนงานวิจัยที่มีวิธีการวัดแตกต่างกัน บางการศึกษาไม่ได้วัดผลข้างเคียงต่อร่างกายอย่างครบถ้วน แต่ผลการวิจัยนี้คงทำให้แพทย์ส่วนใหญ่สั่งจ่ายยาเบาหวานรุ่นเก่าให้ผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจ.
 

ป้ายคำ:
  • โรคเรื้อรัง
  • มะเร็ง
  • ยาและวิธีใช้
  • เบาหวาน
  • คุยสุขภาพ
  • ดูแลสุขภาพ
  • เก็บสาระจากวารสารต่างประเทศ
  • CT 64 slice
  • รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร
  • อ่าน 2,908 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

273-023
วารสารคลินิก 273
กันยายน 2550
เก็บสาระจากวารสารต่างประเทศ
รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <