NSAIDs หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์เป็นกลุ่มยาที่ใช้กันมากทั้งในโรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิ. นอกจากใช้รักษาโรคข้ออักเสบแล้ว ยังนิยมใช้บรรเทาอาการปวด ลดไข้ แทนพาราเซตามอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้บรรเทาปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเมื่อย ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติประจำวัน.
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ประจำมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติก และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น (มีอาการถ่ายดำเป็นอาการสำคัญ). ดั้งนั้นจึงได้หันมาใช้ NSAIDs กลุ่มใหม่ ได้แก่ กลุ่มที่เป็น COX-2 inhibitors ซึ่งเชื่อว่าลดความเสี่ยงต่อแผลเพ็ปติกได้ลงไปมาก. แต่หลังจากนำออกมาใช้ได้เพียงไม่กี่ปี ก็พบว่าหากใช้ยาที่ชื่อว่า rofecoxib ติดต่อกันนานๆ ก็อาจเกิด thromboembolism ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคลมอัมพาต (stroke) เฉียบพลัน. หลังจากพบผู้ป่วยหลายรายที่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ในสหรัฐอเมริกา บริษัทผู้ผลิตยาชนิดนี้ก็ได้ยกเลิกการผลิตและถอนยาออกจากตลาดทั่วโลกและเกิดคดีที่ญาติผู้เสียหายฟ้องร้องผู้ผลิต. ขณะเดียวกันก็ได้มีคำเตือนการใช้ยา COX-2 ชนิดอื่นที่ยังมีการใช้อยู่ ให้ระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีหรือเสี่ยงภาวะ thromboembolism.
ผลข้างเคียงอื่นๆ ของ NSAIDs ที่ผู้ใช้ยาไม่ค่อยได้คำนึงถึง เช่น มือเท้าบวม ความดันเลือดสูง ไตวาย (จากฤทธิ์ของยาที่ทำให้เกิด renal artery stenosis) โรคภูมิแพ้ (หืด หวัดภูมิแพ้) กำเริบ การแพ้ยา เป็นต้น.
ที่ร้ายแรงและพูดถึงกันน้อย ได้แก่ anaphylactic shock จากการแพ้ยาแบบรุนแรง โดยผู้ป่วยมักมีประวัติการใช้ยากลุ่มนี้มาก่อน และมักพบในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้อยู่ก่อน.
ทีน่ากลัว ก็คือ แม้แต่การใช้ยากลุ่มนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปของยาฉีด ก็อาจทำให้เกิด anaphylactoid reaction อันเป็นปฏิกิริยาจากสารเคมีของตัวยาโดยตรง ไม่ใช่ปฏิกิริยาภูมิแพ้ (hypersensitivity) ซึ่งผู้ป่วยจะแสดงอาการและมีอันตรายแบบเดียวกับ anaphylactic shock.
ผลข้างเคียงดังกล่าว ได้มีการระบุอยู่ไว้ในตำราเภสัชศาสตร์ แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ผู้ใช้ยาจึงไม่ได้คำนึงถึงภัยจากยาดังกล่าว และมีการใช้ยากลุ่มนี้อย่างพร่ำเพรื่อ.
โรงพยาบาลหลายแห่ง จะใช้ยากลุ่มนี้ฉีดให้ผู้ป่วย เพียงใช้เพื่อบรรเทาอาการไข้หรืออาการปวดเล็กน้อย เช่น ปวดศีรษะ ปวดเข่า ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้ยาชนิดกิน เช่น พาราเซตามอล หรือทรามาดอลก็เพียงพอ. แต่ผู้ใช้ยาก็อาจใช้ยา NSAIDs ชนิดฉีด ตามใจผู้ป่วยที่เชื่อว่าได้ผลดีกว่ายากิน (ตามค่านิยมการฉีดยา ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน). โรงพยาลบาลบางแห่งมีการสั่งฉีดยากลุ่มนี้วันละหลายสิบเข็ม.
จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบุคลากรตามโรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิ หลายกลุ่มหลายแห่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีหลายท่านที่เล่าถึงปัญหาร้ายแรงที่เกิดจากการใช้ยาฉีดกลุ่มนี้. ที่สำคัญก็คือภาวะช็อก (ซึ่งอาจเป็น anaphylactic หรือ anaphylactoid ก็ได้) ซึ่งบางกรณีถึงกับเสียชีวิต เกิดปัญหาการร้องเรียน หรือฟ้องร้องกันตามมา. แพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนหลายท่าน ก็ยืนยันว่า เคยมีประสบการณ์ของเรื่องนี้. มีท่านหนึ่งเล่าว่า ในระยะ 2 ปีมานี้ พบผู้ป่วยช็อกจากยาฉีด diclofenac ถึง 3 ราย รายหนึ่งเกิดขึ้นในหมู่บ้านขณะแพทย์นำหน่วยเคลื่อนที่ออกไปให้บริการในชุมชน ในเวลานี้จึงได้ห้ามปรามไม่ให้ใช้ยาฉีดกลุ่มนี้แก่ผู้ป่วยโดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นจริงๆ.
ท่านหนึ่งเล่าว่า ผู้ป่วยชายอายุ 30 กว่าปี สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว มีอาการปวดยอกหลัง เข้าพักอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลโดยไม่มีญาติเฝ้า แพทย์ได้สั่งฉีดยากลุ่มนี้ให้หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง พยาบาลไปเยี่ยมก็พบว่าผู้ป่วยเสียชีวิตเสียแล้วโดยไม่มีใครทราบ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากยาฉีดดังกล่าว. กรณีแบบนี้ บางครั้งก็มักจะคิดว่าเสียชีวิตจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดกับผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคเบาหวาน หรือความดันเลือดสูงอยู่ก่อน.
ภัยจากยาฉีด NSAIDs อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเกิดฝี หรือ purulent myofasciitis ตรงบริเวณที่ฉีด (ที่พบบ่อยก็คือสะโพก) ซึ่งอาจรุนแรงถึงทำให้เกิด sepsis ตามมา. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า ทั่วโลกมีรายงานถึงผลข้างเคียงร้ายแรงข้อนี้ถึง 100 กว่าราย และในบ้านเราเองก็มีกรณีฟ้องร้องเกิดขึ้น 2 ราย ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว.
ในเรื่องภัยจาก NSAIDs (รวมทั้งจากการใช้ยาอื่นๆ) ควรมีการสำรวจและจัดระบบเฝ้าระวังและการรายงาน รวมทั้งการสื่อสารให้ผู้ใช้ยาและผู้บริโภคได้เกิดความตระหนักและลดการใช้อย่างไม่ปลอดภัยลงให้มากที่สุด.
- อ่าน 6,119 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้