กรณีศึกษา
ชายไทยคู่อายุ 72 ปี บุตรสาวพามาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ปกติแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว รักษาสุขภาพตนเองสม่ำเสมอ วิ่งออกกำลังกายทุกวัน ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่เคยตรวจสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ไม่มี ประวัติโรคใดๆ ในครอบครัว ประวัติครอบครัวเดิมมีอายุยืนยาวร่วม 100 ปี ผู้ป่วยไม่รู้สึกกังวลใดๆ ใจจริงไม่อยากมาตรวจเพราะรู้สึกว่าสบายดี แต่จำใจมาตรวจเพราะลูกสาวคะยั้นคะยอให้มาตรวจไว้บ้าง.
ทางโรงพยาบาลจัดหน่วยบริการตรวจสุขภาพไว้โดยเฉพาะ มีรายการชุดตรวจต่างๆ ตามช่วงอายุ ลูกสาวเลือกชุดสำหรับผู้มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งมีราคาแพงที่สุด จากนั้นไม่มีการซักประวัติหรือตรวจร่างกายโดยแพทย์ แต่พยาบาลจะส่งตรวจให้ตามรายการที่เลือกไว้.
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบความผิดปกติหลายรายการ โดยส่วนใหญ่ผิดปกติจากเกณฑ์ไปเล็กน้อย คลื่นไฟฟ้าหัวใจบอกผลกำกวมว่าอาจจะมีเส้นเลือดหัวใจตีบ หลังดูผล แพทย์แนะนำให้ตรวจต่อด้วยการวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า ผลก็ยังเป็นที่น่าสงสัย ในที่สุดแพทย์จึงแนะนำให้ตรวจต่ออีกด้วยเครื่องสะท้อนคลื่นหัวใจซึ่งก็ยังได้ผลไม่ชัดเจน ท้ายที่สุดแพทย์จึงแนะนำให้สวนหัวใจเพื่อตรวจหาวินิจฉัยโรคให้ชัดเจนว่าเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบจริงหรือไม่.
ผู้ป่วยไม่อยากตรวจต่อ แต่ลูกสาวเห็นว่าพ่ออาจจะเป็นโรคร้ายแรง จึงปรึกษาแพทย์ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร แพทย์บอกว่า "ถ้าเป็นพ่อของหมอ หมอจะตรวจเพราะจะทำให้รู้แน่ชัดว่าเส้นเลือดหัวใจตีบหรือไม่ จะได้ให้การรักษาที่ถูกต้อง". ลูกสาวจึงตัดสินใจให้พ่อตรวจ ปรากฏว่าผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะเส้นเลือดทะลุและช็อกขณะสวนหัวใจ.
เมื่อกลับถึงบ้าน ญาติที่เป็นแพทย์อยู่ต่างประเทศโวยวายว่า ไม่มีใครเขาแนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจในคนปกติที่ไม่มีอาการ เพราะมีผลบวกลวงสูง และทำให้ต้องตรวจด้วยเครื่องมือที่มีอันตรายมากขึ้น. ลูกสาวและญาติๆ จึงต้องการฟ้องร้องแพทย์ที่ไม่ยอมให้ข้อมูลให้ครบถ้วน และเป็นเหตุให้พ่อต้องตายทั้งที่แข็งแรงดีขณะมาตรวจสุขภาพ และยังต้องการฟ้องร้องโรงพยาบาลที่จัดชุดตรวจสุขภาพที่เป็นอันตรายแก่ประชาชน.
ประเด็นศึกษา
1. แพทย์และโรงพยาบาลมีความผิดดังข้อกล่าวหาหรือไม่ อย่างไร
ถ้าจะถือว่าโรงพยาบาลมีความผิดหรือไม่นั้น หากหมายถึงความรับผิดทางอาญา ซึ่งคงเป็นเรื่อง ของแพทย์ การตรวจสวนหัวใจทำให้เส้นเลือดทะลุ ผู้ป่วยถึงแก่ความตายนั้น ถ้าการกระทำของแพทย์เป็นการกระทำโดยประมาท แพทย์ก็ต้องรับผิด และเป็นความผิดทางอาญา (ฐานประมาทเป็นเหตุใหผู้อื่นถึงแก่ความตาย). ส่วนทางแพ่ง ผู้เสียหายต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ที่เป็นต้นสังกัดของแพทย์ผู้นั้นให้เป็นผู้รับผิด แต่จะฟ้องตัวแพทย์ไม่ได้ (ตามพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539).
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า การสวนหัวใจของแพทย์กระทำด้วยความระมัดระวังในระดับที่ดีที่สุดตามมาตรฐานของผู้ชำนาญการสวนหัวใจหรือไม่ หากกระทำดีที่สุด โดยใช้ความระมัดระวังอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดใดๆ.
เพราะฉะนั้นเมื่อมีการฟ้องร้อง โจทก์จึงมีหน้าที่พิสูจน์ว่าแพทย์หรือผู้เกี่ยวข้องกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยโจทก์ต้องการแพทย์ที่เป็นผู้ชำนาญทางสวนหัวใจมาเป็นพยานว่า บุคลากรของโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องในการสวนหัวใจนั้นประมาทเลินเล่ออย่างไร ถ้าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่อาจชนะคดีได้.
การจะอ้างว่าเพราะแพทย์ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับผลกระทบจากการตรวจคัดกรอง จนทำให้ผู้ป่วยต้องตายนั้น ดูจะไม่เกี่ยวข้องกัน ผลบวกลวงจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น ไม่เกี่ยวกับการตายของผู้ป่วยรายนี้.
2. การให้ผู้ป่วยมีโอกาสเลือกซื้อชุดตรวจสุขภาพโปรแกรมต่างๆ ตามที่โรงพยาบาลจัดไว้ถูกต้องแล้วหรือไม่ ชุดตรวจเหล่านี้เลือกได้เหมือนสินค้าทั่วไปหรือไม่
ในโลกแห่งทุนนิยม มีความพยายามทางธุรกิจที่จะทำให้การบริการด้านสุขภาพเป็นสินค้าที่เลือกซื้อหาได้เหมือนสินค้าทั่วไป. แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากการบริการด้านสุขภาพเป็นวิชาชีพเฉพาะต้องมีบุคลากรที่ฝึกฝนมาจนชำนาญเป็นพิเศษ ทั้งยังต้องมีจริยธรรม ที่จะไม่ทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเหนือประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับ.
การตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองโรคในขณะที่คนยังไม่ป่วย ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะผิดพลาดได้สูง เพราะไประบุล่วงหน้าว่าเขามีโรค ในขณะที่เขายังปกติดี. การทำนายดังกล่าวต้องอาศัยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง ได้แก่ความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ในการบอกความน่าจะเป็นในการเกิดโรคของผู้ที่มารับบริการ ซึ่งจะต้องเป็นเครื่องมือในการตรวจสุขภาพที่แม่นยำกว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากความเจ็บป่วยไม่ใช่สิ่งที่ต้องวัดได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น หากแต่มีความหมายนัยอื่นด้วย.
การตรวจสุขภาพจึงไม่สามารถทำเป็นชุดตรวจ (Package) ไว้ล่วงหน้าได้ โดยไม่ซักประวัติความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละราย การส่งตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่มีความจำเพาะเจาะจงไปก่อน จะทำให้แปลผลไม่ได้ เนื่องจากความแม่นยำของผลบวก (Positive predictive value) จะลดลงหากโรคนั้นมีความชุก (Prevalence) ต่ำโดยเฉพาะในเวชปฏิบัติปฐมภูมิ. การส่งตรวจด้วยเครื่องมือมากชนิดอย่างไม่จำเพาะเจาะจง จะทำให้มีโอกาสผิดพลาดสูงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการซักประวัติย้อนหลังเพื่อให้เข้ากับผลที่ตรวจออกมา การตรวจสุขภาพจึงไม่ใช่สินค้าที่เลือกซื้อได้โดยผู้รับบริการ หากแต่แพทย์ต้องเป็นคนประเมินความเสี่ยงและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยรายหนึ่งๆ เนื่องจากเป็นสินค้าอันตราย.
การจัดชุดตรวจสุขภาพโปรแกรมต่างๆไว้ คล้ายกับมองร่างกายมนุษย์เหมือนรถยนต์ ที่ต้องตรวจเช็กสภาพทุกๆ 5,000 กม. และต้องเปลี่ยนอะไหล่ถ่ายน้ำมันเครื่องตามหนังสือคู่มือประจำรถ แต่ชีวิตมนุษย์มิใช่เครื่องยนต์กลไกเช่นนั้น จึงต้องพิจารณาตรวจเช็กแต่ละคน ตามความจำเป็นเท่านั้น และไม่มีความจำเป็นต้องตรวจตามระยะเวลาที่กำหนดใดๆ.
3. ก่อนการตรวจสุขภาพต้องมี Informed consent หรือไม่ อย่างไร
ต้องมี เพราะการทำ Informed consent ต้องอธิบายถึงผลของการตรวจว่ามีคุณค่ามากน้อยเท่าใด โดยเฉพาะในปัจจุบัน ในการบริการด้านสาธารณสุข บุคลากรต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องให้ผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจในการรับหรือไม่รับบริการใด (ตามมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550) ดังนั้นผู้ให้บริการจึงต้องแจ้งให้ผู้รับบริการทราบถึงข้อมูลทั้งหมดที่จะช่วยเขาในการตัดสินใจว่าอาจจะเกิดผลอะไรบ้างจากการตรวจด้วยเครื่องมือชนิดหนึ่งๆ ซึ่งผู้บริการอาจคาดไม่ถึง เช่นในรายนี้.
อย่างไรก็ตาม การแจ้งข้อมูลต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา แม้จะเป็นโอกาสผิดพลาดจำนวนน้อยก็ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน โดยเฉพาะในรายที่ยังไม่มีความเจ็บป่วยมาก่อน หากตรวจพบความผิดปกติ เขาจะถูกระบุว่าเป็นคนป่วยทันที ทั้งๆ ที่อาจไม่มีแนวทางการรักษา. นอกจากนี้ค่าตัวเลขต่างๆที่ผิดปกติยังขึ้นกับเกณฑ์ของแต่ละโรงพยาบาลที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นการวัดค่าความเที่ยงของเครื่องมือ ไม่ใช่การ ทำนายโรคได้อย่างแม่นยำ จึงต้องใช้แพทย์ในการแปลผลเสมอว่า ผลที่ได้หมายถึงผู้ป่วยรายนั้นเป็นโรคจริงหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการซักประวัติที่ละเอียดจึงจะแปลผลได้.
4. การที่โรงพยาบาลต่างๆ จัดให้มีชุดตรวจสุขภาพให้แก่ผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติ ทั้งที่รู้ว่าผลการตรวจไม่แน่นอน และผู้ป่วยอาจได้รับความเสียหายจากการตรวจเกินจำเป็น ถือว่าสถานพยาบาลมีความผิดหรือไม่ อย่างไร
หากรู้ว่าการตรวจสุขภาพที่ไม่เฉพาะเจาะจงนี้จะก่ออันตรายมากกว่าประโยชน์ให้แก่ผู้มารับบริการแล้วยังกระทำก็ถือว่า มีความผิดทางจริยธรรม ที่ต้องยึดหลักว่า จะไม่ทำเวชปฏิบัติอันเป็นอันตรายเหนือประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วย (Non-maleficence หรือ Do no harm).
นอกจากนี้อาจเป็น ความผิดอาญาฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความชัดเจนถึงเจตนาของผู้กระทำ ส่วนการโฆษณาให้มีการตรวจทั่วๆ ไปดังที่กระทำกันอาจไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญา แต่อาจเข้าข่าย การโฆษณาที่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคได้แก่ การใช้ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงหรือใช้ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการนั้นๆตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ซึ่งต้องพิจารณาข้อความเป็นเรื่องๆไป.
5. การอ้างว่า การตรวจสุขภาพสามารถเบิกได้ตามข้อกำหนดของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังด้วยเกณฑ์อายุ 35 ปีขึ้นไป สามารถตรวจด้วยเครื่องมือมากชนิดขึ้น แต่ไม่มีความจำเพาะเจาะจง ถือว่าสถานพยาบาลนั้นทำผิดหรือไม่ อย่างไร
ดูเหมือนการเบิกค่าตรวจดังกล่าว ตามข้อกำหนดของกรมบัญชีกลางขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้สั่งตรวจ เพราะฉะนั้นก็อาจเบิกได้หากแพทย์ได้ใช้ดุลยพินิจในการส่งตรวจแล้ว.
หากแต่ต้องระวังการส่งตรวจทุกคนโดยใช้เกณฑ์อายุเป็นหลักเพียงอย่างเดียว และมีเจตนาเพื่อเบิกจ่ายเงินเกินจำเป็น เพราะอาจเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง.
6. แพทย์ส่วนใหญ่อ้างว่าตรวจไว้ก่อนดีกว่าไม่ตรวจ และกำลังเป็นกระแสนิยมของสังคมที่อยากตรวจสุขภาพไม่สามารถฝืนกระแสได้ แพทย์ควร วางตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
การอ้างว่าตรวจไว้ก่อนดีกว่าไม่ตรวจ ก็คงต้องหาหลักฐานมายืนยันความกลัวดังกล่าว การตรวจสุขภาพ เป็นความรู้ที่ไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นการวินิจฉัยและรักษาโรคในคนที่ป่วยแล้ว แต่ศาสตร์การคัดกรองโรคเป็นศาสตร์ของเวชปฏิบัติปฐมภูมิที่ต้องผ่านการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนนำมาตรวจคัดกรองในประชาชนที่ยังไม่ป่วย.
แพทย์หรือโรงพยาบาลที่คิดจะจัดการตรวจสุขภาพ จึงควรศึกษาหาความรู้และหลักฐานอ้างอิงก่อนว่าเครื่องมือที่จะตรวจคัดกรองโรคนั้นมีความแม่นยำเพียงใด และจะก่อให้เกิดความเสียหายอะไรบ้างหากวินิจฉัยผิดพลาด การตรวจสุขภาพที่ดี คือ การตรวจประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์ และเฝ้าติดตามสุขภาพของบุคคลนั้นในระยะยาว ดังนั้นจึงไม่ใช่การตรวจด้วยเครื่องมือหลากหลายชนิด แต่ไม่จำเพาะเจาะจง เพียง 1-2 ครั้ง.
ส่วนที่อ้างว่าตามกระแส แพทย์คงต้องตอบตัวเองว่ายังคงความเป็นวิชาชีพอยู่หรือไม่ หรือจัดตัวเองเป็นเพียงผู้นำเสนอสินค้าแฟชั่นทั่วไป (Presenter) ที่มีขึ้นลงตามกระแสได้ แพทย์ควรตระหนักว่าวิชาชีพแพทย์ยังคงอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาจากประชาชนที่เขาไว้ใจผลการรักษาขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจ.
หากแพทย์ยืนหยัดในหลักวิชาการเพื่อปกป้องดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วย เขาก็ยังรักและศรัทธาวงการแพทย์โดยรวม หากแพทย์มุ่งหากำไรจากศรัทธาที่เขามาฝากชีวิตและสุขภาพไว้ เมื่อเขารู้ เขาก็จะเสียศรัทธาต่อวงการแพทย์โดยรวมอย่างที่เป็นอยู่.
การฝืนกระแสคือ การยืนหยัดกระทำสิ่งที่ถูกต้องในเวชปฏิบัติของตนเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ ควรคิดเสียว่าอย่างน้อยประชาชนที่มาตรวจกับเราต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างถูกต้องและละเอียดรอบคอบ. เมื่อแพทย์หลายคนช่วยกันทำในสิ่งที่ถูก กระแสที่ผิดก็จะจางหายไป แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลานาน เนื่องจากปัจจุบันเรากำลังช่วยกันโหมกระแสให้ผิดมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการโฆษณาเครื่องมือแพทย์รุ่นใหม่นานาชนิด ไม่ต่างอะไรกับที่ยุคสมัยหนึ่งแพทย์ชอบฉีดยาให้ผู้ป่วยเพื่อผลประโยชน์ของแพทย์เอง ผู้ป่วยจึงเข้าใจผิดและเกิดความเชื่อถือศรัทธาผิดๆไปว่ายาฉีดดีกว่ายากิน โดยจะเห็นได้ว่ามีผู้ป่วยบางกลุ่มยังติดกระแสการฉีดยาของแพทย์มาจนถึงปัจจุบัน.
7. หากลูกสาวขอให้ตรวจนอกเหนือจากรายการที่จัดไว้ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทั้งตัว โดยบอกว่าเป็นสิทธิผู้ป่วยที่ควรจะได้รับการตรวจสุขภาพอย่างถี่ถ้วน และยืนยันจะจ่ายเงินส่วนที่เหลือเอง ไม่ได้เดือดร้อนใคร ลูกสาวมีสิทธิที่จะเลือกซื้อชุดตรวจทางการแพทย์ใดก็ได้หรือไม่ แพทย์ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
การประกอบวิชาชีพเวชกรรมขึ้นกับการตัดสินใจของแพทย์ ไม่ใช่การส่งผู้ป่วยไปตรวจด้วยเครื่องมือทดแทนการตรวจด้วยแพทย์ หรือให้พยาบาลส่งตรวจเอาเองโดยแพทย์ไม่ประเมินความเสี่ยงหรือความเป็นไปได้ในการเกิดโรคสำหรับบุคคลรายหนึ่งๆก่อน โดยเฉพาะในรายที่ยังไม่มีความเจ็บป่วย เพราะนอกจากการส่งตรวจเกินจำเป็นจะทำให้ได้รับอันตรายมากกว่าแล้ว ยังจะทำให้คิวส่งตรวจต่างๆเพิ่มมากขึ้น. ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจจะถูกเลื่อนคิวตรวจออกไปและเสียโอกาสในการรักษาในเวลาอันเหมาะสม.
เนื่องจากการบริการทางการแพทย์ตั้งอยู่บนฐานทรัพยากรอันจำกัด เมื่อใช้เกินจำเป็นก็จะไปเสียโอกาสผู้ป่วยรายอื่น ทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติและระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ จึงต้องอาศัยแพทย์ในการตัดสินใจว่าจะให้ตรวจด้วยเครื่องมืออะไรจึงจะเหมาะสมและเป็นอันตรายน้อยที่สุด.
นอกจากนี้หากแปลความหมายของ "อาการร้อนรนมาขอซื้อบริการทางการแพทย์" ที่มากมายเกินจำเป็นของลูกสาวรายนี้ แพทย์จะตระหนักได้ถึงความวิตกกังวลของลูกสาวมากกว่าผู้มารับบริการเสียเอง คนที่ป่วยกว่าคือลูกสาว. แพทย์จึงควรประเมินสิ่งที่ลูกสาวกำลังกลัวกังวลอยู่มากกว่า เพราะถึงแม้ส่งตรวจไปมากมาย ความกลัวของลูกสาวก็อาจไม่ลดลง ซ้ำยังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการค้นหาสิ่งผิดปกติจากตัวคนปกติ ในเมื่อยิ่งค้นหาก็จะยิ่งเจอ ทั้งที่อาจไม่ได้เกิดเป็นโรค หากค้นหาไม่เจอก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่เป็นโรค แต่กลับจะทำให้ประมาทและเข้าใจผิดว่าไม่เป็นอะไร จึงเพิกเฉยที่จะดูแลสุขภาพตนเองต่อไป.
8. ปัจจุบันมีหน่วยงานใดควบคุมมาตรฐาน การตรวจสุขภาพบ้าง
ในประเทศไทยยังไม่มีการออกกฎหมายหรือมีคณะทำงานเพื่อควบคุมมาตรฐานการตรวจสุขภาพแต่ในต่างประเทศมีคณะทำงานระดับประเทศที่ให้ คำแนะนำในการตรวจสุขภาพไว้ชัดเจน เช่น
U.S. Preventive Services Task Force หรือ USPSTF (www.ahrq.gov/clinic/uspstfix.htm<)
Canadian Task Force for Preventive Health Care หรือ CTFPHC (www.ctfphc.org<)
โดยมีแนวคิดว่าผู้รับบริการมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูล ทั้งข้อดีและข้อเสียของการตรวจสุขภาพคัดกรองโรคด้วยเครื่องมือต่างๆ ตามความเสี่ยงของบุคคลนั้นๆ.
อย่างไรก็ตามในต่างประเทศจะไม่อนุญาตให้ผู้รับบริการมาเลือกซื้อได้โดยอิสระ แต่จะมีการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรค ก่อนจะให้ข้อมูลว่าผู้รับบริการรายนั้นๆ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคใดบ้าง หากตรวจหรือไม่ตรวจด้วยเครื่องมือต่างๆ จะมีผลดีและผลเสียอย่างไร จากนั้นจึงพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันระหว่างผู้รับบริการและแพทย์ โดยอาจมีการลงลายมือชื่อร่วมกัน ว่า รับทราบข้อตกลงและผลที่อาจได้รับจากการเลือกที่จะตรวจหรือไม่ตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ชิ้นหนึ่งๆ.
นอกจากนี้การตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงที่ถึงแม้จะมีคำแนะนำไว้ ก็ยังต้องขึ้นกับข้อจำกัดของสถานพยาบาลขนาดต่างๆด้วย ว่าสามารถตรวจได้ตามคำแนะนำหรือไม่ สถานพยาบาลจึงควรทำคำแนะนำ (guideline) ฉบับที่เฉพาะเจาะจงกับข้อจำกัดของตนเอง โดยอ้างอิงมาจากหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้และคำแนะนำระดับประเทศ (National Guideline) ดังนั้นจึงไม่ใช่การจัดชุดตรวจสุขภาพตามความสามารถในการจ่ายเงินของประชาชน.
สายพิณ หัตถีรัตน์ พ.บ., ว.ว (เวชปฏิบัติทั่วไป) อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 4,635 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้