ทุกๆปี พวกเราที่เป็นเจ้าของรถมีหน้าที่จ่ายเบี้ยประกัน ตามข้อบังคับในพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เม็ดเงินที่รวบรวมได้โดยบริษัทประกันวินาศภัยแต่ละปีเพิ่มจาก 6,465 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2542 เป็น 8,579 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2548 พวกเรายอมจ่ายเบี้ยประกันนี้ เพราะถูกบังคับตามกฎหมายซึ่งอ้างเหตุว่า บริษัทประกันวินาศภัยเหล่านั้นจะนำเงินนี้ไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงที โรงพยาบาลก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีหนี้สูญจากการให้บริการ ผู้ประสบภัยจากรถก็จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง อีกทั้งยังจะได้รับการชดเชยความเสียหายจากการทุพพลภาพหรือเสียชีวิต.
ความจริงที่ปรากฏคือ วันนี้สถิติจากการเฝ้าระวังการบาดเจ็บของกระทรวงสาธารณสุขระหว่าง ปี พ.ศ. 2542-2548 แสดงว่าผู้ประสบภัยจากรถไม่ถึง 1/5 ที่ได้รับการคุ้มครองตามที่พ.ร.บ.ฉบับนี้คาดหวัง. ตรงกันข้ามผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 63) ยังต้องทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง ที่เหลือเลือกที่จะใช้สิทธิอื่นๆ เช่น บัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ เป็นต้น. อันหมายถึงการผลักภาระคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถในส่วนค่ารักษาพยาบาลไปให้กองทุนตามสิทธิอื่นๆนั่นเอง.
ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเงินเบี้ยประกันที่พวกเราเจ้าของรถถูกบังคับให้จ่ายมีจำนวนไม่เพียงพอ. ตรงกันข้ามตลอดเวลา 7 ปีดังกล่าว บริษัทประกันวินาศภัยกลับมีเงินเบี้ยประกันสะสมตามอำนาจแห่งพ.ร.บ.ฉบับนี้มากถึงเกือบ 5 พันล้านบาท. ทุก 100 บาทของเงินค่าเบี้ยประกันที่เก็บได้จ่ายออกไป เพียง 45.9 บาทในปี พ.ศ. 2549.1 นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์สัดส่วนค่าบริหารจัดการเงินก้อนมหึมานี้กลับพบว่าอยู่ระหว่างร้อยละ 35-41 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในปี พ.ศ. 2548 สัดส่วนค่าบริหารจัดการเท่ากับร้อยละ 35.2
แล้วในประเทศอื่นค่าบริหารจัดการทำนองเดียวกันเป็นเท่าใด เท่าที่ทราบในประเทศสหราชอาณาจักรค่าบริหารจัดการเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้ผู้ประสบภัยและสถานพยาบาลเท่ากับร้อยละ 1!!!3 ถ้าสมมติว่าค่าจัดเก็บเบี้ยประกันรวมค่านายหน้าที่สูงถึงร้อยละ 18 ของเบี้ยประกันภัยอย่างกรณีของ ไทย ก็อนุมานได้ว่าสัดส่วนค่าบริหารจัดการโดยรวมของระบบนี้ในสหราชอาณาจักรย่อมต่ำกว่าของบริษัทประกันวินาศภัยไทยเกือบเท่าตัว.
จึงกล่าวได้ว่าระบบประกันภัยภาคบังคับตามพ.ร.บ.ฉบับนี้มีปัญหาตั้งแต่ขั้นตอนแรก (เก็บเบี้ยประกันภัย) ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย (จ่ายเบี้ยประกันภัย). ตลอดระยะเวลา 15 ปี นับแต่พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ. 2535 ด้วยเหตุนี้คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข โดยสำนักกรรมาธิการ 3 จึงยกร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถภาคบังคับ พ.ศ....ฉบับใหม่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้ยกเลิกฉบับปัจจุบัน (พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถภาคบังคับ พ.ศ. 2535).
ข้อเสนอสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ ได้แก่
1. ให้กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บเบี้ยประกันภัยพร้อมการต่อทะเบียนรถหรือจดทะเบียนใหม่ โดยมีค่าใช้จ่ายไม่เกินร้อยละ 1 ของเบี้ยประกันภัย.
2. ให้กรมบัญชีกลาง จัดการกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถภาคบังคับ เพื่อจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบภัย และจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่สถานพยาบาล โดยมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่เกินร้อยละ 5 ของเบี้ยประกันภัย.
3. กำหนดให้กองทุนฯ นำเงินส่วนเกินไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ทำประกันภัยหรือลดเบี้ยประกันภัยหรือนำเงินส่งเข้าภาครัฐเป็นรายได้แผ่นดิน.
การเปลี่ยนแปลงตามข้อเสนอดังกล่าวคาดว่าจะก่อประโยชน์แตกต่างจากปัจจุบันดังนี้
1. เม็ดเงินที่จะจ่ายค่าชดเชยและค่ารักษาพยาบาล จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นจากร้อยละ 39 เป็นร้อยละ 66-77.
2. ความยุ่งยาก ล่าช้าในการจ่ายค่าชดเชย และค่ารักษาพยาบาลจะหมดไป เพราะกรมบัญชีกลางเข้ามาจัดการเพียงหน่วยเดียว (ปัจจุบันกรมบัญชีกลางจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สถานพยาบาลในส่วนของสวัสดิการข้าราชการ) จึงสามารถกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติที่เป็นเอกภาพ แทนที่จะปล่อยให้บริษัทประกันวินาศภัยต่างกำหนดเงื่อนไขการจ่ายของแต่ละบริษัทเอาเองในปัจจุบัน.
หากเป็นได้ดังนี้ ผู้ประสบภัยฯ ก็จะไม่ต้องทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล และการผลักภาระค่ารักษาพยาบาลให้กองทุนตามสิทธิอื่นก็หมดไป.
ขอให้พวกเราช่วยกันเชียร์ดังๆให้กฎหมายใหม่ฉบับนี้คลอดออกมาสมดังเจตนารมณ์ของ คณะกรรมาธิการสาธารณสุขชุดนี้นะครับ.
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้