(Schulze M, et al. Sugar-sweetened beverages, weight gain, and incidence of type 2 diabetes in young and middle-aged women. JAMA 2004;292: 927-34.)
ในขณะที่อัตราคนอ้วนและคนเป็นเบาหวานกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก สถิติเกี่ยวกับการดื่มกินน้ำอัดลมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน. ในประเทศสหรัฐอเมริกา อัตราการดื่มน้ำอัดลมกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากปี พ.ศ. 2520-2540 อัตราการดื่มเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61 และเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น. มีการศึกษาจำนวนมากแสดงถึงว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้อ้วนในเด็ก แต่การศึกษาในผู้ใหญ่ยังมีน้อย. น้ำอัดลมซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาลปริมาณมาก นอกจากทำให้อ้วน ยังเพิ่มความเสี่ยงของเบาหวานได้หรือไม่. Schulze MB และคณะได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้รวม (punch) ทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อเบาหวานในผู้ใหญ่มากขึ้นหรือไม่.
การศึกษานี้เป็นแบบ prospective cohort ในกลุ่มพยาบาล (Nurse Health Study II) จากจำนวนเริ่มต้น 91,249 คน ที่ไม่ได้เป็นเบาหวานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 การเก็บข้อมูลซ้ำทำในปี พ.ศ. 2534, 2538, และ 2542 รวมเวลาของคนที่ติดตามได้ทั้งหมด 716,300 คน-ปี (person-years). สุดท้ายพบว่ามีคนเป็นเบาหวานใหม่ 741 คน. ตัวชี้วัดผลหลักคือ น้ำหนักตัว และอุบัติการณ์เบาหวาน.
ผลการศึกษา พบว่า คนที่ดื่มน้ำอัดลมหวานมากมีน้ำหนักตัวมากขึ้นกว่าคนที่ดื่มน้อย และคนที่ดื่มมากมีความเสี่ยงมากกว่าคนดื่มน้อย, คนที่ดื่มน้ำผลไม้รวม (punch) มากก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเช่นกัน. คนที่ดื่มน้ำอัดลมหวานวันละ 1 ครั้งขึ้นป มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน 1.83 เท่า (95 % CI 1.42, 2.36) เท่าของคนที่ดื่มน้อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน. คนดื่มน้ำผลไม้รวมตั้งแต่วันละ 1 ครั้งขึ้นไป ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อเบาหวานเป็น 2 เท่า (95 % CI 1.33, 3.03) ของคนที่ดื่มน้อยกว่าเดือนละ1 ครั้ง.
ข้อสรุป การดื่มเครื่องดื่มหวานมากขึ้นทำให้เสี่ยงต่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อเบาหวานมากขึ้นในผู้ใหญ่ เพราะร่างกายได้รับพลังงานจากน้ำตาลมากเกิน.
รูปแบบการศึกษานี้เป็นเชิงสังเกต ข้อมูลการดื่มได้จากการสอบถาม ดังนั้นอาจมีข้อจำกัดในการสรุปว่าการดื่มน้ำอัดลมเป็นสาเหตุของเบาหวาน แต่ก็มีความเป็นไปได้ถ้ามองในทางชีวภาพ เนื่องจากน้ำอัดลมมีส่วนประกอบของน้ำตาลมากจึงมี glycemic index สูง. การศึกษานี้ พบว่า น้ำผลไม้ (เช่น น้ำแอ๊ปเปิ้ล น้ำส้มน้ำองุ่น) กลับไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดเบาหวาน อาจเพราะว่ามีน้ำตาลน้อยกว่าและในน้ำผลไม้มีสารอาหารอื่นที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า. ในขณะที่น้ำผลไม้รวม (punch) นั้นมีส่วนผสมของน้ำผลไม้แท้เพียงเล็กน้อยแต่มีน้ำตาลมาก ซึ่งก็พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดเบาหวานมากขึ้นเช่นกัน.
วิชัย เอกพลากร พบ., Ph.D.,รองศาสตราจารย์ ศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน,คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี,มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 4,159 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้