ในการพัฒนางานด้านเวชปฏิบัติปฐมภูมิ และการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชนระดับอำเภอ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศนั้น ควรใช้โรงพยาบาลชุมชนเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสุขภาพของบุคคลทุกระดับ ตั้งแต่บุคลากรสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข เยาวชน (นักเรียน นักศึกษา) ครู พระ ผู้นำชุมชน จนถึงประชาชนทั่วไป. ทั้งนี้ เนื่องเพราะโรงพยาบาลชุมชนมีปัจจัยที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ เช่น
=มีกำลังคนด้านสุขภาพพื้นฐาน อันประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักสาธารณสุข นักสุขศึกษา นักวิชาการ เป็นต้น. ในอนาคตอาจขยายครอบคลุมไปถึงนักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และสาขาที่จำเป็นอื่นๆ. นอกจากนี้โรงพยาบาลหลายแห่งก็มีกำลังคนด้านการแพทย์แผนไทยประกอบเป็นทีมสุขภาพของโรงพยาบาลอีกด้วย. กำลังคนเหล่านี้สามารถฝึกเป็นครูทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้คนต่างๆ ได้.
=มีการบริการสุขภาพพื้นฐานแก่ผู้ป่วยและประชาชนทั่วไปซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ได้.
มีสถานที่และอุปกรณ์ เช่น ห้องประชุม ลานกีฬา โรงครัว โสตทัศนูปกรณ์ เป็นต้น ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของบุคคล/กลุ่มบุคคล.
=มีสื่อการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุด คอมพิวเตอร์ เพียงแต่พัฒนาดัดแปลงเพิ่มเติม เช่น จัดหาหนังสือ ตำรา วารสาร เอกสารให้มีความทันสมัยและเพียงพอ (ปัจจุบันมีหน่วยงานมากมายที่ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ความรู้ทั้งในระดับวิชาการ/วิชาชีพ และระดับชาวบ้าน) จัดหาสื่อการเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ก็สามารถเปิดกว้างให้ผู้สนใจมาใช้บริการได้.
=มีเครือข่ายกับนักวิชาการทั้งในระดับจังหวัดและสถาบันการศึกษา ซึ่งสามารถขอให้เป็นวิทยากรเสริมได้.
สำหรับงานเวชปฏิบัติปฐมภูมิ ในปัจจุบันมีการขยายเครือข่าย " ศูนย์สุขภาพชุมชน (PCU) " ลงไปทุกตำบล ซึ่งต้องอาศัยพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นกำลังหลักในการบริการผู้ป่วยนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนด้านความรู้เกี่ยวกับ การตรวจรักษาโรคและการใช้ยา. ในการนี้โรงพยาบาลชุมชนถือเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ ใกล้ชิดที่สุดของบุคคลดังกล่าว สามารถจัดการอบรมทั้งด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ (เช่น การตรวจร่างกาย การทำกายภาพบำบัด หัตถการต่างๆ) ที่โรงพยาบาลชุมชน, เปิดให้บุคคลเหล่านี้มาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมที่ห้องสมุดและจุดบริการคอมพิวเตอร์, ให้คำปรึกษาทางไกล (เช่น โทรศัพท์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต), ลงไปนิเทศงานและให้คำปรึกษาที่ศูนย์สุขภาพชุมชน, จัดประชุมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วย (case conference), เปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวมาเยี่ยมและศึกษาเรียนรู้กรณีผู้ป่วยที่พวกเขาส่งมารับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เป็นต้น.
สำหรับงานสร้างเสริมสุขภาพ ในปัจจุบันโรงพยาบาลชุมชนส่วนใหญ่ได้เริ่ม กิจกรรมต่างๆ ไว้มากมาย เช่น กิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ, ชมรมผู้ป่วยเอดส์, ชมรมผู้ป่วยเบาหวาน, ชมรมออกกำลังกาย, งานอนามัยโรงเรียน, งานอาชีวอนามัยในโรงงาน, งานอาสาสมัครสาธารณสุขในด้านต่างๆ, งานสร้างเสริมสุขภาพแก่บุคลากรในโรงพยาบาล เป็นต้น. เพียงแต่หาโอกาสทบทวนและประเมินดูว่ายังมีจุดอ่อนอะไรที่ต้องพัฒนาต่อไป, จัดเวทีในการแลกเปลี่ยน, จัดหาสื่อการเรียนรู้ วิทยากรและสิ่งสนับสนุนเพิ่มเติมตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอันหลากหลาย ก็ย่อมจะช่วยเสริมพลังอำนาจให้กลุ่มบุคคลต่างๆ ดำเนินกิจกรรมได้อย่างเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้น.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
- อ่าน 3,624 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้