ปัจจุบันมีเภสัชกรกระจายอยู่ตามสถานบริการสุขภาพระดับต่างๆ รวมทั้งระดับอำเภอ (โรงพยาบาลชุมชน) และชุมชน (ร้านยาเภสัชกรชุมชน). ภาระหน้าที่หลักของเภสัชกรคือ การจัดหา และการกระจายยา แก่ผู้ป่วยและประชาชนอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข.
ภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นก็คือ เภสัชกรวุ่นวายอยู่กับการจัดจ่ายยาแก่ผู้ป่วยที่ห้องยาของโรงพยาบาล. บางแห่งก็อาจเห็นเภสัชกรให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องการใช้ยาแก่ผู้ป่วย.
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ภายหลังการเปิด PCU ในชุมชนตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เภสัชกรบางส่วนก็ได้ร่วมอยู่ในทีมสุขภาพที่เคลื่อนที่ไปให้บริการผู้ป่วยที่ PCU เป็นครั้งคราวโดยทำหน้าที่จ่ายยาแบบเดียวกับโรงพยาบาล.
ส่วนบทบาทต่อชุมชน ก็อาจมีอยู่ในบางพื้นที่ เช่น การรณรงค์เรื่องการใช้ยาที่ถูกต้อง การจัดกิจกรรมคุ้มครองผู้บริโภคในชุมชน การวิจัยปัญหาการใช้ยาในชุมชน การสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน การพัฒนาการใช้สมุนไพร เป็นต้น.
จริงๆ แล้วเภสัชกรถือเป็นนักวิชาชีพที่มีศักยภาพสูงสาขาหนึ่ง ซึ่งสามารถแสดงบทบาทต่อการพัฒนาระบบสุขภาพได้อย่างกว้างขวางเลยทีเดียว หากมีการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ในเรื่องระบบสุขภาพ และพัฒนาปัจจัยที่เอื้อต่อการแสดงบทบาทของเภสัชกร.
นอกจากภาระหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหาและกระจายยาแก่ผู้ป่วยและประชาชนแล้ว เภสัชกรน่าจะแสดงบทบาทดังต่อไปนี้
1. เป็นแหล่งความรู้ด้านยา ทำการศึกษารวบรวมองค์ความรู้ด้านยา พัฒนาสื่อและช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านยา แก่ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และประชาชนทั่วไป.
ในส่วนกลาง คณะเภสัชศาสตร์หลายแห่งได้จัดทำศูนย์ข้อมูลยา และสมุนไพร เปิดกว้างให้ผู้สนใจเข้ามาใช้ประโยชน์.
ส่วนในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลระดับจังหวัด และอำเภอ ควรพัฒนาแหล่งเรียนรู้ (เช่น ห้องสมุด สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อการศึกษาอื่นๆ) จัดทำโครงการฝึกอบรม รวมทั้งให้คำปรึกษาด้านการใช้ยาแก่บุคลากรต่างๆ. ยกตัวอย่างพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ PCU (รวมทั้งศูนย์บริการสาธารณสุข และสถานีอนามัย) ซึ่งยังขาดความรู้เรื่องการใช้ยา ควรจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากเภสัชกรของโรงพยาบาลในเขตอำเภอเดียวกัน เช่น การฝึกอบรมความรู้ด้านยา การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ เป็นต้น. หากออกไปปฏิบัติงานที่ PCU แทนที่เภสัชกรจะทำหน้าที่จ่ายยาเอง ควรไปทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง พัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ PCU ในการจ่ายยาให้ผู้ป่วย.
2. พัฒนาระบบการจัดจ่ายยาที่ปลอดภัยแก่ผู้ป่วยโรงพยาบาลหลายแห่งได้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการสั่งยาให้ผู้ป่วยโดยสามารถตรวจสอบและเตือนให้ผู้สั่งยา สั่งยาได้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงผลไม่พึงประสงค์ (เช่น ผลข้างเคียง การแพ้ยา) และปฏิกิริยาระหว่างยา ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยความเผอเรอหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้สั่งยา.
3. ร่วมทีมในการดูผู้ป่วยในหอผู้ป่วย หลายแห่งได้ส่งเสริมให้เภสัชกรเข้าร่วมทีมในการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยในหอผู้ป่วย โดยช่วยประเมินถึงความเหมาะสมการใช้ยาของผู้ป่วย. เงื่อนไขคือ ทีมงานโดยเฉพาะแพทย์จะต้องให้คุณค่าในบทบาทอันนี้ของเภสัชกร.
4. ร่วมทีมในการเยี่ยมบ้านและดูแลผู้ป่วยที่บ้าน เภสัชกรควรเลือกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยบางรายเพื่อเรียนรู้ปัญหาของผู้ป่วยแบบองค์รวม รวมทั้งปัญหาด้านการใช้ยาของผู้ป่วย (เช่น การแอบปรับยารักษาเบาหวาน ความดันเลือดสูง). นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัว พัฒนาให้เกิดการมองปัญหาแบบองค์รวม และการเอื้ออาทรต่อผู้อื่น.
5. ร่วมทีมในการทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพ เภสัชกรสามารถเข้าร่วมกิจกรรมสร้างเสริม สุขภาพตามความสนใจและความถนัดของตนเอง เช่น เป็นผู้นำในการเต้นแอโรบิก ฝึกโยคะ รำ มวยจีน ส่งเสริมให้ชุมชนรวมตัวกันพัฒนาอาชีพ กองทุนชุมชน ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกและใช้สมุนไพร เป็นต้น.
6. เรียนรู้ปัญหาของชุมชนและระบบสุขภาพ โรงพยาบาลควรจัดเวที หรือกิจกรรมการเรียนรู้ (เช่น การสำรวจชุมชน การวิจัยปัญหาในชุมชน การประชุมวิชาการ การอภิปรายปัญหาผู้ป่วย เป็นต้น) ให้แก่เภสัชกรและทีมสุขภาพ. การเรียนรู้ทำให้เปิดโลกทรรศน์หรือมุมมองที่กว้างขึ้น เข้าใจและเข้าถึงปัญหา พัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาจริง.
7. รณรงค์การใช้ยาที่เหมาะสมในชุมชน ประชาชนในพื้นที่อาจมีปัญหาการใช้ยาไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น การใช้ยา NSAIDs และสตีรอยด์อย่างผิดๆ การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเกินจำเป็น เป็นต้น. เภสัชกรควรเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยการศึกษาให้เข้าใจปัญหาและหามาตรการในการแก้ไขให้เหมาะสม. นอกจากนี้ควรเผยแพร่ความรู้เรื่องการใช้ยาที่เหมาะสมแก่ประชาชน รวมทั้งเยาวชนในโรงเรียน.
8. สำหรับเภสัชกรที่เปิดร้านยาในชุมชน นอกจากจ่ายยาให้ผู้บริโภคแล้ว ควรมีความรู้ในการให้คำปรึกษาแนะแนวปัญหาสุขภาพ ติดตามประเมินผลการรักษาโรคเรื้อรัง (วัดความดัน น้ำตาลในเลือด, และรณรงค์ให้ความรู้และสร้างเสริมสุขภาพแก่ชุมชนโดยรอบ.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
- อ่าน 13,275 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้