Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » เรียนรู้ปัญหาเวชปฏิบัติจากผู้เรียน
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เรียนรู้ปัญหาเวชปฏิบัติจากผู้เรียน

โพสโดย somsak เมื่อ 1 พฤษภาคม 2549 00:00

ระยะหลายปีมานี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปบรรยายเรื่อง" การรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิ " แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ประกอบเวชปฏิบัติในชุมชนในภูมิภาคต่างๆ ทั้งในส่วนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิ (ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานีอนามัย).


จากการอภิปรายแลกเปลี่ยนกับผู้เรียนซึ่งมีประสบการณ์อันหลากหลายทำให้ได้เรียนรู้ปัญหาเวชปฏิบัติในลักษณะต่าง ๆ.


ตัวอย่างเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค บุคลากรที่อ่อนประสบการณ์มักวินิจฉัยอาการจุกแน่นลิ้นปี่ว่าเป็นเพียง " โรคกระเพาะ " แล้วให้ยารักษาโรคกระเพาะให้ผู้ป่วย ซึ่งบ่อยครั้งโรคที่ผู้ป่วยเป็นนั้นอาจเป็นนิ่วน้ำดี มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและที่ร้ายแรง คือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย.

ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพียงอาการปวดยอกหลัง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง อาจเป็นอาการรากประสาทถูกกดทับ มะเร็งตับอ่อน ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง (ankylosing spondylitis).

อาการใจสั่น นอนไม่หลับ มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพียงโรควิตกกังวลทั้งๆ ที่ความเป็นจริงอาจเป็นโรคคอพอกเป็นพิษ หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ.

ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงก็มักมีการวินิจฉัยเกิน (overdiagnosis) เช่น ตรวจวัดแล้วพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติเพียงครั้งเดียว ก็รีบให้ยารักษาจนบางครั้งเกิดผลข้างเคียง (เช่น  ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ).

ความผิดพลาดเหล่านี้ มักเกิดจากการไม่มีเวลาและขาดทักษะในการวินิจฉัยแยกโรคด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างถ้วนถี่ รวมทั้งไม่ได้ยึดกุมเกณฑ์การวินิจฉัยโรคที่มีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ.

ในด้านการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคลากรมักจะเน้นการให้ยาเป็นหลักและบ่อยครั้งนิยมให้ยาเกินจำเป็นที่พบบ่อยก็คือ การให้ปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วยไข้หวัดและโรคอุจจาระร่วงโดยขาดข้อบ่งชี้ทางการแพทย์. เช่น เมื่อถามผู้เรียนว่าเวลาพบผู้ป่วยอุจจาระร่วงจะให้ยาอะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่าให้ nonfloxacin เป็นสูตรตายตัว. เมื่อเป็นไข้หวัด ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ ยาแก้หวัดแก้ไอ เป็นสูตรตายตัว เช่นกัน.

บุคลากรมักไม่มีเวลาและขาดทักษะในการสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติทำให้ผู้ป่วยไม่เข้าใจในธรรมชาติของโรคที่เป็นและการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง และมักพึ่งการใช้ยาเป็นหลักจนบางครั้งเกิดผลข้างเคียงจากยา. ตัวอย่างโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้ป่วยจะอาศัยยากลุ่ม NSAIDs (บางครั้งแอบใช้ยาชุดยาลูกกลอนที่ใส่ยาสตีรอยด์) กินระงับอาการอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลร้ายจากยาเหล่านี้.

ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เป็นๆ หาย ๆเรื้อรัง เช่น ไมเกรน โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรควิตกกังวลโรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น มักจะไม่ได้รับความกระจ่างจากบุคลากรและมักเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาลสิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง.

ส่วนโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบบริการยังขาดการจัดระบบที่มีประสิทธิผลในการควบคุมโรค. บุคลากรยังนิยมใช้วิธี "สอนให้รู้ขู่ให้กลัว" เป็นหลักในการพยายามปรับพฤติกรรมของผู้ป่วย ซึ่งมักจะไม่ค่อยได้ผล.

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา เช่น ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องปฏิกิริยาระหว่างกันของยา (drug interaction). บางครั้งเผลอให้ยา 2 ชนิดร่วมกันที่ต้านฤทธิ์กันหรือเสริมฤทธิ์กันจนเกิดเป็นอันตรายได้. ตัวอย่างเช่น การให้ยา enalapril ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่ม amiloride ซึ่งทั้งคู่ทำให้มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงร่วมกัน จนอาจเกิดอันตรายได้.

ผมได้เรียนรู้จากผู้เรียนว่าในเวลานี้มีความนิยมใช้ยาฉีด NSAIDs (เช่น diclofenac) สำหรับอาการไข้และอาการปวดต่างๆ รวมทั้งอาการปวดข้อ ปวดเมื่อย ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉีด แต่ก็จะฉีดให้ตามการร้องขอหรือความนิยมของผู้ป่วย. โรงพยาบาลบางแห่ง มีการสั่งฉีดยาชนิดนี้แก่ผู้ป่วยวันละ 20-30 ราย. บางครั้งมีการแนะนำให้ผู้ป่วยนำยาไปฉีดที่สถานีอนามัย. ผู้เรียนหลายๆ กลุ่มยืนยันตรงกันว่า เคยพบเห็นผู้ป่วยเกิดอาการแพ้ยา (anaphylactoid  reaction ถึง anaphylactic shock) จากยาฉีด diclofenac บ่อยกว่าที่เกิดจากยาชนิดอื่น (เช่น  ยาชา). บางกรณีถึงกับเสียชีวิตหรือช่วยไม่ทัน.
 

ปัญหาเวชปฏิบัติเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับคุณภาพบริการและความปลอดภัยของผู้ป่วย.ผมเสนอแนะว่าควรมีการทบทวนสำรวจศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบโดยความร่วมมือของนักวิชาการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงานระดับต่างๆ แล้วนำผลการศึกษานั้นไปพัฒนาระบบบริการให้มีคุณภาพและความปลอดภัยยิ่งๆ ขึ้นไป.

ระยะหลายปีมานี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปบรรยายเรื่อง " การรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิ" แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ประกอบเวชปฏิบัติในชุมชนในภูมิภาคต่างๆ ทั้งในส่วนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิ (ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานีอนามัย).

จากการอภิปรายแลกเปลี่ยนกับผู้เรียนซึ่งมีประสบการณ์อันหลากหลาย ทำให้ได้เรียนรู้ปัญหาเวชปฏิบัติในลักษณะต่าง ๆ.

ตัวอย่างเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค บุคลากรที่อ่อนประสบการณ์มักวินิจฉัยอาการจุกแน่นลิ้นปี่ว่าเป็นเพียง " โรคกระเพาะ " แล้วให้ยารักษาโรคกระเพาะให้ผู้ป่วยซึ่งบ่อยครั้งโรคที่ผู้ป่วยเป็นนั้นอาจเป็นนิ่วน้ำดี มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหารโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและที่ร้ายแรง คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย.
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพียงอาการปวดยอกหลัง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง อาจเป็นอาการรากประสาทถูกกดทับ มะเร็งตับอ่อนข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง (ankylosing spondylitis).

อาการใจสั่น นอนไม่หลับ มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพียงโรควิตกกังวลทั้งๆ ที่ความเป็นจริงอาจเป็นโรคคอพอกเป็นพิษ หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ.

ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงก็มักมีการวินิจฉัยเกิน (overdiagnosis) เช่น ตรวจวัดแล้วพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติเพียงครั้งเดียวก็รีบให้ยารักษา จนบางครั้งเกิดผลข้างเคียง (เช่น  ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ).

ความผิดพลาดเหล่านี้ มักเกิดจากการไม่มีเวลา และขาดทักษะในการวินิจฉัยแยกโรคด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างถ้วนถี่ รวมทั้งไม่ได้ยึดกุมเกณฑ์การวินิจฉัยโรคที่มีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ.

ในด้านการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคลากรมักจะเน้นการให้ยาเป็นหลัก และบ่อยครั้งนิยมให้ยาเกินจำเป็นที่พบบ่อยก็คือ การให้ปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วยไข้หวัดและโรคอุจจาระร่วงโดยขาดข้อบ่งชี้ทางการแพทย์. เช่น เมื่อถามผู้เรียนว่า เวลาพบผู้ป่วยอุจจาระร่วง จะให้ยาอะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่าให้ nonfloxacin เป็นสูตรตายตัว. เมื่อเป็นไข้หวัด ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ ยาแก้หวัดแก้ไอ เป็นสูตรตายตัว เช่นกัน.

บุคลากรมักไม่มีเวลาและขาดทักษะในการสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติ ทำให้ผู้ป่วยไม่เข้าใจในธรรมชาติของโรคที่เป็นและการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง และมักพึ่งการใช้ยาเป็นหลัก จนบางครั้งเกิดผลข้างเคียงจากยา. ตัวอย่างโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้ป่วยจะอาศัยยากลุ่ม NSAIDs (บางครั้งแอบใช้ยาชุดยาลูกกลอนที่ใส่ยาสตีรอยด์) กินระงับอาการอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลร้ายจากยาเหล่านี้.

ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง เช่น ไมเกรน โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรควิตกกังวล โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น มักจะไม่ได้รับความกระจ่าง  จากบุคลากร และมักเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาล  สิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง.

ส่วนโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบบริการยังขาดการจัดระบบที่มีประสิทธิผลในการควบคุมโรค. บุคลากรยังนิยมใช้วิธี  " สอนให้รู้ขู่ให้กลัว " เป็นหลักในการพยายามปรับพฤติกรรมของผู้ป่วย ซึ่งมักจะไม่ค่อยได้ผล.

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา เช่น  ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องปฏิกิริยาระหว่างกันของยา (drug  interaction). บางครั้งเผลอให้ยา 2 ชนิดร่วมกันที่ ต้านฤทธิ์กันหรือเสริมฤทธิ์กันจนเกิดเป็นอันตรายได้. ตัวอย่างเช่น การให้ยา enalapril ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่ม amiloride ซึ่งทั้งคู่ทำให้มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงร่วมกัน จนอาจเกิดอันตรายได้.

ผมได้เรียนรู้จากผู้เรียนว่าในเวลานี้มีความนิยมใช้ยาฉีด NSAIDs (เช่น diclofenac) สำหรับอาการไข้และอาการปวดต่างๆ รวมทั้งอาการปวดข้อ ปวดเมื่อย ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉีด แต่ก็จะฉีดให้ตามการร้องขอหรือความนิยมของผู้ป่วย. โรงพยาบาลบางแห่ง มีการสั่งฉีดยาชนิดนี้แก่ผู้ป่วยวันละ 20-30 ราย. บางครั้งมีการแนะนำให้ผู้ป่วยนำยาไปฉีดที่สถานีอนามัย. ผู้เรียนหลายๆ กลุ่มยืนยันตรงกันว่า เคยพบเห็นผู้ป่วยเกิดอาการแพ้ยา (anaphylactoid  reaction ถึง anaphylactic shock) จากยาฉีด diclofenac บ่อยกว่าที่เกิดจากยาชนิดอื่น (เช่น  ยาชา). บางกรณีถึงกับเสียชีวิตหรือช่วยไม่ทัน.
 

ปัญหาเวชปฏิบัติเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับคุณภาพบริการและความปลอดภัยของผู้ป่วย. ผมเสนอแนะว่าควรมีการทบทวนสำรวจศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบโดยความร่วมมือของนักวิชาการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงานระดับต่างๆ แล้วนำผลการศึกษานั้นไปพัฒนาระบบบริการ ให้มีคุณภาพและความปลอดภัยยิ่งๆ ขึ้นไป.


 

ป้ายคำ:
  • คุยสุขภาพ
  • บทบรรณาธิการ
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
  • อ่าน 2,560 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

258-001
วารสารคลินิก 258
พฤษภาคม 2549
บทบรรณาธิการ
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <