Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » เสียง แสง กดดัน
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เสียง แสง กดดัน

โพสโดย somsak เมื่อ 1 มิถุนายน 2549 00:00

ชื่อบทความฉบับนี้อาจดูแปลกตาท่านผู้อ่านไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในชุดบทความเดียวกับ 6 ฉบับที่ผ่านมาคือ เป็นการแนะแนวทางในการวินิจฉัยโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นสำหรับท่านผู้อ่าน อันจะเป็นประโยชน์ในการรายงานโรคด้วยแบบรายงาน 506/2 สู่สำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรคและการเบิกจ่ายเงินทดแทนของลูกจ้างที่เจ็บป่วยผ่านทางสำนักงานกองทุนเงินทดแทนอีกด้วย.


ฉบับนี้จะกล่าวถึง "  โรคเหตุสภาวะทางกายภาพ " ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับที่มาของชื่อกลุ่มโรคนี้ให้ตรงกัน กล่าวคือ สภาพแวดล้อมของคนทำงานอาจตรวจพบสารเคมี เชื้อโรคหรือปัจจัยกายภาพต่างๆ ได้ ทั้งนี้ปัจจัยกายภาพ (physical agents) ที่สำคัญและอาจก่อโรคได้ ได้แก่ เสียงดังมากๆ อุณหภูมิที่สูงมาก รังสีแตกตัว และความกดดันอากาศไม่ว่าสูงหรือต่ำ.

โรคเหตุสภาวะทางกายภาพที่สำนักระบาดวิทยา ระบุว่าพบบ่อยในประเทศไทย มี 3 โรค คือ โรคการได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง โรคเหตุลดความกดอากาศ และการเจ็บป่วยเหตุความร้อน.


เสียงดัง
โรคการได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง (noise-induced hearing loss) เป็นภาวะการเสื่อมของประสาทหู จากการสัมผัสกับเสียงรบกวน หรือเสียงไม่พึงประสงค์ที่มีความดัง (amplitude) มาก ทั้งนี้ประชากรกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้ที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีเสียงดังเกินปกติ ได้แก่

¾ อุตสาหกรรมการทอผ้า เฟอร์นิเจอร์ ถลุงเหล็ก ผลิตแก้ว โรงเลื่อย โรงกลึง.

¾ คนขับเรือ ผู้ควบคุมเครื่องจักรกล.

¾ตำรวจจราจร.

¾พนักงานบริการในสถานเริงรมย์ บาร์หรือดิสโก้เทค.

รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีเสียงดังมาก เช่น ใกล้แม่น้ำที่มีเรือยนต์แล่นผ่านตลอดเวลา ใกล้สนามบิน บริเวณริมถนนที่รถผ่าน หรือใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดเสียงดังที่กล่าวมาแล้ว. ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานกำหนดไว้ว่าการทำงาน 8 ชั่วโมงไม่ควรได้ยินเสียงดังเกิน 90 เดซิเบลเอและระดับเสียงดังสูงสุดไม่ควรเกิน 140 เดซิเบลเอ.

ลักษณะทางเวชกรรมที่อาจตรวจพบคือ อาการเสียงดังในหูคล้ายเสียงแมลงหวี่ สมรรถภาพการได้ยินค่อยๆ เลวลง มักเกิดกับหูทั้ง 2 ข้าง ในรายที่มีการได้ยินเสื่อมเฉียบพลันมักเกิดจากการได้ยินเสียงดังมากทันที เช่น เสียงปืน เสียงระเบิด ฯลฯ.

การตรวจพิเศษเพื่อการวินิจฉัยประกอบด้วย การตรวจด้วยเครื่องมือ 2 ชุด การตรวจชนิดแรก คือ การใช้กล้องส่องช่องหู (otoscope) เพื่อดูความผิดปกติของแก้วหู ทำให้สามารถแยกโรคได้ว่าไม่ได้เกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอมในรูหู เช่น แมลงหรือขี้หู รวมทั้งไม่ใช่จากการที่แก้วหูฉีกขาด โดยเฉพาะไม่ใช่ conductive hearing loss จากสาเหตุอื่นๆ.

   

 

การตรวจอีกชนิด คือ การตรวจวัดการได้ยิน (audiometry) โดยพบการเสื่อมของการได้ยินที่ 4,000 เฮิร์ซ (Hz) หรือในพิสัยระหว่าง 3,000-6,000 Hz และระดับการได้ยินมากกว่า 25 เดซิเบล (dB) ภาพแสดงลักษณะของการได้ยิน (audiogram) มีลักษณะ เป็นดังนี้ คือ

ระยะที่ 1 : เป็นรูป V-shape notch ที่บริเวณ 4,000 (3,000-6,000) เฮิร์ซ.

ระยะที่ 2 : ถ้ายังคงได้รับเสียงดังนานมากขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะ V-shape notch จะลึกลงและกว้างออก แต่ยังอยู่ในช่วงของความถี่ 3,000-6,000 เฮิร์ซ.

ระยะที่ 3 : การเสื่อมของการได้ยิน คืบคลานเข้าไปในช่วงการได้ยินคำพูดสนทนาปกติ (500-3,000 เฮิร์ซ) ทำให้ฟังเสียงพูดคุยได้ไม่ชัดเจน.

ระยะที่ 4 : การได้ยินเสื่อมมาก ลักษณะ notch จะหายไป กลายเป็น sloping curve เริ่มจาก 500 เฮิร์ซแล้วดิ่งลงข้างล่างไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการวกกลับขึ้นมาอีกแบบ 3 ระยะแรก ทำให้ฟังเสียงพูดยิ่งไม่ชัดเจนมากขึ้น.

ทั้งนี้การวินิจฉัยโรคเพื่อการรายงาน อาศัยประวัติการสัมผัสและทำงานเกี่ยวข้องกับเสียงดัง การฟังเสียงไม่ชัดเจนโดยเฉพาะเสียงพูดของคนปกติและผลการตรวจการได้ยิน.

 

ข้อแนะนำ
การวินิจฉัยภาวะผิดปกตินี้ ควรพิจารณาข้อมูลการตรวจวัดเสียงในที่ทำงาน ประกอบกับรูปแบบการสัมผัสเสียง เช่น ตลอดเวลา เป็นครั้งคราว และความผิดปกติของการได้ยินที่ตรวจพบ โดยไม่ควรใช้ค่าการตรวจวัดเสียงดังเพียงอย่างเดียวมาตัดสิน เนื่องจากบุคคลมีการตอบสนองต่อเสียงดังได้ต่างกันค่อนข้างมาก.

โดยทั่วไปแล้ว คนทำงานที่มีภาวะการได้ยิน  เสื่อมจะไม่พบแพทย์ในทันที เนื่องจากไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อการทำงานหรือการดำเนินชีวิตทั่วไป การตรวจพบผู้มีความผิดปกติมักเกิดจากการตรวจสุขภาพ ก่อนเข้าทำงานหรือการตรวจสุขภาพประจำปี นอกจากนั้น หากจะหาประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ อาจต้องอาศัยข้อมูลการตรวจวัดระดับเสียงในที่ทำงานเป็นตัวชี้บ่ง.

 


ความร้อน
การเจ็บป่วยเหตุความร้อน (heat stress) เป็นภาวะความผิดปกติในการตอบสนองของร่างกายต่อการสัมผัสความร้อนสูงกว่าปกติและไม่สามารถควบคุม อุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับปกติได้.
กลุ่มคนทำงานที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคกลุ่มนี้คือผู้ทำงานในงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความร้อนสูง ได้แก่

¾ อุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การถลุงเหล็ก การทำแก้ว การทำกระเบื้องเคลือบการหล่อและหลอมโลหะ.

¾ พนักงานดับเพลิง พนักงานบรรเทาสาธารณภัย.

¾ งานก่อสร้าง เกษตรกรรม งานกลางแจ้งอื่นๆ.

¾ งานซักรีด.
รวมทั้งกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ต้องสัมผัสกับความร้อนสูง เป็นเวลานานๆ ได้แก่ การฝึกทหาร การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เป็นต้น. ทั้งนี้กระทรวงแรงงานได้กำหนดให้สภาพแวดล้อมที่ทำงานมีอุณหภูมิ ไม่เกิน 45 ๐ ซ. (ตรวจวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์พิเศษ wet bulb globe temperature) หรือหากวัดอุณหภูมิร่างกายต้องไม่สูงกว่า 38 ๐ ซ. โดยไม่รวมกรณีเป็นไข้.


ลักษณะทางเวชกรรมที่ตรวจพบจากการสัมผัสความร้อนสูง มีหลายระดับ คือ
1. ตะคริวจากความร้อน (heat cramp).

2. อาการเหนื่อยล้าจากความร้อน (heat exhaustion) ได้แก่ เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเร็ว ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังเปียกชื้นและอาจหมดสติ.

3. เป็นลมจากความร้อน (heat stroke) มีอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท ชักหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ วัดอุณหภูมิทางทวารหนักได้มากกว่า 40.2 ๐ ซ.
การวินิจฉัยเพื่อรายงานโรค อาศัยประวัติการทำงานหรือกระทำกิจกรรมที่สัมผัสความร้อนสูง ตรวจวัดอุณหภูมิทางทวารหนักได้มากกว่า 40.2 ๐ ซ.


ความกดอากาศ
โรคเหตุลดความกดอากาศ (decompression sickness) เกิดจากการสะสมของฟองก๊าซไนโตรเจนตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากการทำงานหรือทำกิจกรรมภายใต้แรงกดดันอากาศสูงเป็นเวลานาน และมีการลดความกดอากาศลงอย่างรวดเร็ว.
การทำงานที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคความกดอากาศ ได้แก่

¾ การดำน้ำ การงมหอย หรือการสำรวจใต้ทะเล รวมทั้งงานวางท่อ สายไฟใต้น้ำต่างๆ.

¾ การขุดเจาะอุโมงค์เพื่อสร้างทางขนส่งประเภทต่างๆ.

¾ การดูแลผู้ป่วยในห้องปรับบรรยากาศความดันสูง (decompression chamber).

¾ กิจกรรมหรือสันทนาการที่เกี่ยวกับการดำน้ำ.

ทั้งนี้ลักษณะทางเวชกรรม มักพบว่าเกิดอาการของโรคภายใน 24 ชั่วโมง ภายหลังการลดแรงกดดันอากาศ หรือภายหลังจากกลับขึ้นสู่ระดับพื้นดินที่ความดันปกติ โดยจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

¾ ลักษณะที่ 1 เกิดอาการที่ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง มีอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ ผื่นคัน บวมและปวดบริเวณต่อมน้ำเหลือง อาการส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นภายหลังขึ้นจากน้ำประมาณ 6 ชั่วโมง.

¾ ลักษณะที่ 2 เกิดอาการที่ระบบประสาทมีอาการชา อัมพาต สับสน เวียนศีรษะ มีเสียงในหูหูอื้อ ทรงตัวไม่ได้ มือเท้าสั่น เจ็บหน้าอก ไอ หายใจถี่ ช็อก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ โดยอาการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน 3 ชั่วโมง.
การวินิจฉัยโรคเพื่อรายงานอาศัยประวัติการทำงานหรือกิจกรรมเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับ  อาการและอาการแสดงดังกล่าว.


เห็นได้ว่า โรคเหตุสภาวะทางกายภาพทั้ง 3 นี้ วินิจฉัยได้ไม่ยากหากถามประวัติการทำงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ทำงาน กลุ่มใด ซึ่งประการหลังนี้ทำให้สามารถป้องกันโรคกลุ่มนี้ได้ โดยอาศัยการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม ได้แก่ ลดระดับความดังของเสียงหรือลดอุณหภูมิ รวมทั้งการใช้เครื่องป้องกันส่วนบุคคล ได้แก่ ปลั๊กหรือที่ครอบหู และการปรับพฤติกรรมการทำงาน เช่น ค่อยๆ ขึ้นจากน้ำเพื่อป้องกันฟองก๊าซก่อตัวในอวัยวะ หรือการดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไป.


นั่นคือ ความใส่ใจจากแพทย์ผู้ทำการตรวจ รักษา จะทำให้กลุ่มคนที่ทำงานเสี่ยงต่อการเกิดโรคกลุ่มนี้ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น.

 

เอกสารอ้างอิง
 1. แสงโฉม เกิดคล้าย, บรรณาธิการ. แนวทางการวินิจฉัยเพื่อการรายงานโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2547 (สิงหาคม) : หน้า 9-13.


ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.,DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข 

E-mail address : [email protected]<

ป้ายคำ:
  • โรคจากการทำงาน
  • อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
  • พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
  • อ่าน 5,348 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

258-007
วารสารคลินิก 258
มิถุนายน 2549
อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <