Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » แผลปริที่ขอบทวารหนัก (anal fissure)
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

แผลปริที่ขอบทวารหนัก (anal fissure)

โพสโดย somsak เมื่อ 1 พฤษภาคม 2549 00:00

                                    

Q    :   แผลปริที่ทวารหนัก คืออะไร
A    :   คือแผลที่ขอบหรือปากทวารหนักลักษณะเป็นรอยปริเกิดขึ้นบริเวณขอบทวารหนัก มีอาการเจ็บรุนแรงเมื่อเทียบกับขนาดแผล พบได้บ่อยมากไม่น้อยไปกว่าโรคริดสีดวงทวาร.

 

Q   : มีอาการอย่างไรได้บ้าง
A    : - อาการเจ็บเหมือนมีอะไรมาบาดบริเวณทวารหนักระหว่างและหลังที่มีการเบ่งถ่ายอุจจาระพบได้  ร้อยละ 90. 
        - มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ โดยมักเป็นเลือดแดงสดในปริมาณเล็กน้อยพบได้ร้อยละ 70.
        - มักพบร่วมกับภาวะท้องผูก, อุจจาระแข็ง และถ่ายลำบากพบได้ร้อยละ 30.

 

Q   :    วินิจฉัยอย่างไร
A    :   วินิจฉัยจากประวัติ และการตรวจร่างกายบริเวณทวารหนัก จะพบแผลบริเวณแนวกึ่งกลาง (midline) ส่วนใหญ่จะพบทางด้านหลัง (posterior) ประมาณร้อยละ 90.

 

Q   :    ต้องตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการอะไรอีกบ้างหรือไม่ อย่างไร
A   :  
โดยทั่วไปเกือบทั้งหมดสามารถวินิจฉัยได้โดยง่ายจากประวัติและตรวจร่างกายโรคนี้จะมีอาการเจ็บรุนแรง ดังนั้นแพทย์มักจะไม่สามารถใส่เครื่องมือเข้าไปตรวจในทวารหนักได้ หรือแม้แต่ใช้นิ้วตรวจ (PR) ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากอาการเจ็บ ซึ่งอาจต้องมาตรวจภายหลังอีกครั้งเพื่อวินิจฉัยแยกโรคร้ายแรงที่อาจแฝงอยู่ได้ โดยการส่องกล้อง (endoscope) หรือสวนแป้ง (barium enema).

 

Q   :    มีการวินิจฉัยแยกโรคอะไรได้บ้าง
A    :   สามารถวินิจฉัยแยกจากโรคริดสีดวงทวารภายนอกที่มีการอักเสบ (thrombosed external hemorrhoid) หรือโรคฝีคัณฑสูตร (anorectal abscess) ได้ไม่ยาก. นอกจากนี้โรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกันได้แก่ intersphincteric abscess, fissure in inflammatory bowel disease, cancer of anus, syphilitic ulcer, hematologic condition  และ leukemia เป็นต้น.

 

Q   :   หลักในการรักษาโรคนี้มีอะไรบ้าง
A    :  
หลักสำคัญของการรักษาคือ ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดชั้นใน (reflex spasm) และอาการเจ็บที่เป็นตัวกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดหดตัวซึ่งเป็นสาเหตุให้แผลไม่หาย.

         - หลีกเลี่ยงภาวะท้องผูก, อุจจาระแข็ง โดยกินอาหารที่มีกากใยสูง, ดื่มน้ำมากๆ และอาจต้องใช้ยาระบาย (laxative) หรือยาที่ทำให้อุจจาระนิ่ม (stool softener ) ช่วย. 

         - อาจใช้ยาเฉพาะที่ ได้แก่ ยาทาและยาเหน็บที่ใช้ในโรคริดสีดวงทวาร, ยาทาที่ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูด (ยากลุ่ม nitroglycerine) ซึ่งได้ผลไม่ดีนัก.

         - การผ่าตัด ปัจจุบันการผ่าตัดมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและได้ผลดีก็คือ lateral internal sphincterotomy.
 

                  

  

Q    :  ข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยการผ่าตัดมีอะไรบ้าง
A     :   จะผ่าตัดเมื่อ
          - รักษาโดยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น (medical treatment).
          - แผลขอบทวารชนิดเรื้อรัง (chronic anal fissure).

 

Q    :   ผ่าตัดที่ไหนได้บ้าง ต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วัน หลังผ่าตัดต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
A     :   สามารถรับการผ่าตัดรักษาโรคนี้ได้จากที่โรงพยาบาลที่มีศัลยแพทย์ทั่วไป หรือศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนักประจำอยู่. 

การผ่าตัดใช้เวลาไม่นานประมาณ 15-30 นาที อาจทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ ซึ่งไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หรือทำภายใต้การฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง ซึ่งมักต้องอยู่โรงพยาบาลประมาณ 1 วัน. 

หลังผ่าตัดอาการเจ็บจะลดลง. การดูแลแผลผ่าตัดให้ใช้น้ำประปาล้างก้นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง. นอกจากนี้ต้องให้ความรู้แก่ผู้ป่วยว่าพยายามอย่าให้ท้องผูก หรืออุจจาระแข็งโดยกินอาหารที่มีกากใย (fiber) สูง และดื่มน้ำมากๆ.

ราคาค่าผ่าตัดโดยประมาณ 3,000-5,000 บาทในโรงพยาบาลรัฐบาล.

 

Q   :    หลังผ่าตัดจะมีภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง
A   :     
ภาวะแทรกซ้อนทั่วไปจากการผ่าตัด ได้แก่ ภาวะเลือดออก ภาวะแผลติดเชื้อ เป็นต้น. ภาวะแทรกซ้อนเฉพาะสำหรับการผ่าตัด lateral internal sphincterotomy คือ อาจมีภาวะ incontinence มักจะเป็นแค่ไม่สามารถกลั้นลมได้ตามปกติ (air incontinence) ซึ่งพบได้ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ต่อมาอาการจะดีขึ้นจนปกติ.

 

 

Q    :   ถ้าไม่ผ่าตัดจะหายหรือไม่ และถ้าผ่าตัดแล้วจะหายขาดหรือไม่
A
    :   ถ้าเป็นระยะเฉียบพลัน (acute anal fissure) สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องผ่าตัด (ร้อยละ 50) แต่ถ้าเป็นระยะเรื้อรัง (chronic anal fissure) ส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับการผ่าตัดว การผ่าตัดให้ผลการรักษาดีมากและผู้ป่วยมักจะหายขาด. อย่างไรก็ดี อาจพบการกลับเป็นซ้ำได้บ้างซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องรับการผ่าตัดซ้ำอีกครั้ง (ร้อยละ 10-20).
 

ผู้นิพนธ์
ธีรสันติ์ ตันติเตมิท พ.บ. ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก กลุ่มงานศัลยกรรม,โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร

วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ. ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ป้ายคำ:
  • ระบบทางเดินอาหาร
  • โรคตามระบบ
  • คำถามที่ท่านควรรู้ในเวชปฏิบัติทั่วไป
  • โรคฝีคัณฑสูตร
  • นพ.ธีรสันติ์ ตันติเตมิท
  • นพ.วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา
  • อ่าน 94,965 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

258-017
วารสารคลินิก 258
พฤษภาคม 2549
คำถามที่ท่านควรรู้ในเวชปฏิบัติทั่วไป
นพ.วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา
นพ.ธีรสันติ์ ตันติเตมิท
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบัน ChangeFusion พัฒนาระบบโดย Opendream สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa