รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เรียกกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับสีเขียวที่อ้างกันว่าเป็นฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด. แต่พอออกมาใช้จริงหลายคนก็เริ่มวิตกว่าจะเป็นอย่างที่หวังไว้จริงหรือเปล่าเพราะหลายสิ่งที่เป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาแปลกๆ สิ่งหนึ่งที่มีปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเฉพาะในมาตรา 52 และ 82 ที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการสุขภาพ สาระของรัฐธรรมนูญดังกล่าวเน้นที่หลักการใหญ่ 7 ประเด็น ดังนี้
1. Service.
2. Standard of quality.
3. Equality.
4. Efficiency.
5. Accessibility.
6. Accountability.
7. Participation of community.
แต่ที่ผมจะนำมาพูดถึงก็คือความเสมอภาคหรือ equality คือต้องทำให้คนไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการได้รับบริการจากรัฐ ไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร.
แต่แค่ความเสมอภาคอย่างเดียวคงไม่พอ คนรวยมีเงินเป็นหลายล้านกับคนจนที่พอมีกินได้รับบริการจากโรงพยาบาลรัฐเหมือนกันเข้าถึงเหมือนกันเสียค่าธรรมเนียม 30 บาทเท่ากัน หรือเด็กนักเรียนใน ชนบทจบชั้นมัธยมปีที่ 6 กับเด็กนักเรียนลูกคนมีเงินในกรุงเทพฯเรียนอยู่โรงเรียนดังๆ ก็มีความเสมอภาคกันในการสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือคนพิการด้อยโอกาสกับคนปกติสมบูรณ์มีโอกาสเท่ากันในการประกอบอาชีพ. สิ่งเหล่านี้ก็คือความเสมอภาค แต่ถามว่าเกิดความเป็นธรรมในสังคมหรือไม่ สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาควบคู่ไปกับความเสมอภาคก็คือ ความเป็นธรรม หรือ equity ซึ่งจะทำให้คนในสังคมเริ่มออกตัวหรือสตาร์ทอย่างเท่ากันก่อนจึงจะแข่งกันได้ ไม่ใช่เด็กบ้านนอกด้อยโอกาสแข่งกับเด็กที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสทางการศึกษาโอกาสแพ้ก็มากกว่าให้คนพิการทำงานแข่งกับคนปกติ โอกาสแพ้มากกว่าการให้แต้มต่อสำหรับคนด้อยโอกาสกว่า จึงเป็น การสร้างความเป็นธรรมในสังคม เช่น การมีโควตาในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสำหรับเด็กต่างจังหวัดหรือโรงเรียนเล็กๆ นี่ก็เป็นตัวอย่างของการให้แต้มต่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม. การให้เบี้ยยังชีพคนพิการอย่างเหมาะสมตามสภาพความพิการหรือความสามารถในการดำรงชีพที่เหลืออยู่ไม่ใช่การให้แบบเหมาโหลรายละ 300 บาทแบบที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้.
สำหรับบริการสุขภาพนั้น การให้คนจนจ่ายเท่ากับคนรวยเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะมีความเสมอภาค แต่ก็ไม่มีความเป็นธรรมคนที่มีโอกาสมากกว่าควรได้รับชดเชยน้อยกว่าคนที่ด้อยกว่าถ้าเสีย 30 บาทเท่ากัน มื่อคิดเป็นร้อยละของรายได้แล้วคนจนจะเสียเปรียบมาก. ดังนั้นน่าจะมีการนำรายได้สุทธิเข้ามามีส่วนในการพิจารณาในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยหรือการเอาเงินเหมาจ่ายค่าหัวของคนที่ดูแลสุขภาพตนเองอย่างดี ไม่เจ็บไม่ป่วยไปให้คนที่ไม่ใส่ใจดูแลตนเอง เจ็บป่วยมาก ก็อาจไม่เป็นธรรมเช่นกัน น่าจะมีการจัดสรรเงินที่จะเป็น การจูงใจให้คนในครัวเรือนร่วมช่วยกันใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตนเองไม่ให้เจ็บป่วยโดยอาจจะมีเงินส่วนหนึ่งเก็บสะสมไว้ได้ ก็อาจส่งผลให้คนไทยสนใจดูแลสุขภาพตนเองขึ้นบ้าง.
พิเชฐ บัญญัติ พ.บ.,ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก
- อ่าน 5,626 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้