จากการที่ได้ทำงานในชนบทมาหลายปี ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มาพอสมควร ได้พบกับแพทย์ที่จบมาจากสถาบันต่างๆ หลายแห่ง ได้เรียนรู้วิทยาการทางการแพทย์หลายอย่างที่หมุนกลับไปมาดั่งล้อเกวียน. ผมมีความเห็นว่าการศึกษาแพทยศาสตร์เพื่อประชาชนไทยน่าจะมีการปรับปรุงมากขึ้น. เราจะพบว่าความต้องการของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความเชื่อมั่นต่อแพทย์เริ่มลดลงปัญหาการฟ้องร้องแพทย์เริ่มมากขึ้น นั่นไม่ใช่เพราะหลักสูตรแพทยศาสตร์เดิมไม่ดี แต่สังคมเปลี่ยนไป. หลายครั้งที่พบว่าแพทย์จบใหม่ไม่สามารถอยู่ในชนบทได้อย่างมีความสุขอาจเนื่องมาจากการขาดเครื่องมืออุปกรณ์ การไม่เข้าใจชาวบ้าน การไม่ชินอยู่กับชีวิตชนบทเพราะเติบโตและศึกษาในเมืองใหญ่มาตลอด ทำให้บริการสุขภาพในปัจจุบันจึงไปเน้นที่ Hi tech มากกว่า Hi touch เน้นรักษาโรคมากกว่ารักษาคน ผมจึงได้ลองเสนอแนวทางการปรับเปลี่ยน ดังนี้สอนให้
1. เป็นคนก่อนเป็นหมอ.
2. รู้จักคนก่อนรู้จักไข้.
3. รู้จักสังคมชุมชนก่อนรู้จักโรงพยาบาลหรือห้องผ่าตัด.
4. รู้จักสุขภาวะก่อนรู้จักทุกขภาวะ.
5. มองภาพรวมหรือองค์รวมก่อนแยกส่วน.
6. สร้างก่อนซ่อม.
7. รู้จักโรงพยาบาลที่ขาดแคลนก่อนโรงพยาบาลที่มีพร้อม.
เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้คน ครอบครัว ชุมชน สังคมก่อน เนื่องจากส่วนใหญ่เด็กเรียนเก่งก็มัวแต่อ่านตำราหรือกวดวิชาอยู่ในห้องเรียน กลับบ้านมืดค่ำทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์กับชุมชนไป. ผมคิดว่าในปีแรกของการเป็นนักศึกษาแพทย์น่าจะให้เรียนรู้เรื่องของสังคม ชุมชน ทั่วไปก่อนโดยให้อยู่ในโรงพยาบาลชุมชนและเรียนรู้หมู่บ้านก่อนพร้อมทั้งเรียนรู้แนวคิดเวชศาสตร์ชุมชนและเวชศาสตร์ครอบครัว สังคมศาสตร์ เป็นต้น. ส่วนความรู้ basic science ก็ลดลงหรือเปลี่ยนวิธีเรียนโดยให้ศึกษาจากตำรา หรืออินเตอร์เน็ต แล้วให้จัดทำรายงานส่งในลักษณะ ของ PBL ก็ได้ เอาเวลามาเรียนรู้ชีวิตจริงก่อนที่จะขึ้นชั้นพรีคลินิกและชั้นคลินิกต่อไป. ในปีที่ 2-6 ยังคล้ายๆ แบบเดิมแต่พยายามเปลี่ยนเป็นการเรียนแบบบูรณาการหรือ action learning และเพิ่มการเรียนรู้ชุมชนชั้นปีละ 1 เดือนเพื่อไม่ให้นักศึกษาห่างหรือลืมความเป็นชุมชน.
ผมก็คงได้แต่เสนอเท่านั้น เพราะคงไม่ค่อยมีใครสนใจนัก เนื่องจากส่วนใหญ่ก็อยากจะให้เรียนแต่ตำราแพทย์ ตำราโรคกัน ซึ่งเรียนเท่าไหร่ก็จำไม่ไหว เพราะหลายอย่างที่เรียนไปไม่ได้ใช้ ที่ใช้ไม่ได้เรียนต้องมาหาอ่านเอง ยิ่งความรู้ทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทุกวัน อีกหน่อยถ้าเรียนแบบนี้อาจต้องเรียนแพทย์ 9 ปี10 ปีก็ได้.
ในโรงพยาบาลชุมชนจะเป็นแหล่งความรู้เรื่องต่างๆ ทางสุขภาพมากมาย ใกล้ชิดชุมชน วิชาชีพต่างๆ มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันมาก หากมหาวิทยาลัยที่สอนทางด้านสุขภาพปรับการเรียนการสอน และใช้พื้นที่จริงในโรงพยาบาลชุมชน ก็จะทำให้นักศึกษาได้นำทฤษฎีหลักการมาฝึกใช้จริง ทำให้รู้ลึกและรู้รอบ พร้อมทั้งรู้จักประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพที่เป็นจริงของชุมชนและสังคมมากขึ้น เพียงแต่ว่าช่วยเสริมศักยภาพในด้านการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัยให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลชุมชนที่มีใจรักและพร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานจริงออกมา. ในการฝึกงานของนักศึกษา หากเป็นไปได้ถ้ามีทั้งนักศึกษาแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด เภสัชหรืออื่นๆ มาฝึกชุมชนร่วมกันในเวลาเดียวกันก็จะดี เพราะจะได้เรียนรู้การทำงานในชุมชนร่วมกันตั้งแต่เป็นนักศึกษาทำให้คุ้นเคยและทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น.
ศาสตราจารย์ นายแพทย์จอห์น เฟรเซอร์ จากประเทศออสเตรเลียได้มาดูงานที่โรงพยาบาลชุมชน ที่ผู้เขียนทำงาน และบอกว่าที่ออสเตรเลียใช้โรงพยาบาลขนาดเล็กสอนแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวได้เลย และได้รับการยอมรับจากแพทยสภาของออสเตรเลียจึงทำให้แพทย์โรงพยาบาล เล็กๆ อยู่ได้นาน รู้สึกมีศักดิ์ศรีเพราะได้ทำอะไรที่ท้าทาย ได้ถ่ายทอดความรู้ ได้ทำงานวิชาการควบคู่ไปกับงานบริการ และอย่างโรงพยาบาลที่ท่านอยู่ก็เป็นแหล่งสอนนักศึกษาแพทย์ทั้งๆ ที่เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ เพียงแต่ว่าแพทย์ที่เป็นพี่เลี้ยงจะได้ฝึกเทคนิค การสอน การเป็นพี่เลี้ยงก่อนและได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์.
หากแพทยสภาไทยมองให้ไกล ทำใจให้กว้างมากขึ้น ก็อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ได้เพราะเราให้นักศึกษาได้เรียนในชนบท ได้ใช้ชีวิตจริงตั้งแต่เรียนไม่ใช่การเรียนและเติบโตอยู่ในเมืองใหญ่ แต่พอเรียนจบต้องถูกบังคับออกมาทำงานในชนบท ก็ทำให้เกิดความอึดอัด ไม่แน่ใจและปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ยาก และยิ่งรัฐบาลจะมีโครงการหนึ่งแพทย์หนึ่งอำเภอ (ODOD) เราน่าจะอาศัยโอกาสตรงนี้สร้างแพทย์แนวใหม่ที่มีหัวใจของการสร้างเสริม สุขภาพ มองคนทั้งคน มองแบบองค์รวม เป็นแพทย์ ของชุมชนที่คัดเลือกโดยชุมชน เรียนอยู่กับชุมชนและจบออกมาทำงานกับชุมชน จะช่วยลดการเลือกทำงานอยู่แต่ในเมืองใหญ่ และการหมุนเวียนแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนที่เปลี่ยนบ่อยมาก จนเกิดปัญหามาก มายตามมาไม่รู้จบ และยิ่งในสังคมยุคปัจจุบันที่กำลัง เข้าสู่สังคมฐานความรู้ที่ต้องใช้การจัดการความรู้อย่าง เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้จากสถานศึกษาอย่างเดียว ควรจะเป็นลักษณะของทุกคนเป็นครู ทุกที่เป็นห้องเรียน มองความรู้ที่เป็นความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ที่มีทั้งความรู้ในตำรา ความรู้ในคนที่เป็นประสบการณ์ ทักษะ ไม่ใช่แค่การท่องตำรามาสอบตอบให้ตรงใจครูอย่างเดียวแล้ว เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง คำตอบที่ถูกไม่ได้มีแค่คำตอบเดียวและการเรียนรู้ก็ไม่ได้มีแค่วิธีเดียว.
พิเชฐ บัญญัติ พ.บ.,ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาก โรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก
- อ่าน 2,130 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้