Costa J, et al. Efficacy of lipid lowering drug treatment for diabetic and non-diabetic patients : meta-analysis of randomised controlled trials. BMJ 3 April 2006.
เบาหวานเป็นโรคของความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม คนเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเทียบเท่าคนที่เคยมีกล้ามเนื้อหัวใจตายมาก่อน. เบาหวานมิใช่เป็นแค่ภาวะความบกพร่องของระดับน้ำตาลในเลือดเกินเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อระดับไขมัน และไลโปโปรตีนทำให้ระดับโคเลสเตอรอลชนิด HDL ลดลง และ LDL เพิ่มขึ้น. ดังนั้นการรักษาเบาหวานในปัจจุบันจุบัน จึงรักษาปัจจัยอื่นร่วมด้วย เพื่อเป็นการป้องกันภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจตาย.
ที่ผ่านมามีการวิจัยพบว่า statin สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในคนเป็นเบาหวานได้ และมีการแนะนำให้ใช้ยาลดไขมันในผู้ป่วยเบาหวาน โดย American College of Physician ด้วย.
งานวิจัย meta-analysis นี้ ทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาลดไขมันในเลือดของคนเป็นเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน ค้นข้อมูล Cochrane, Medline, Embase ที่ตีพิมพ์ในอดีตจนถึง ปี พ.ศ. 2547.
ผู้วิจัยเลือกเฉพาะงานวิจัยที่เป็น RCT ที่มีการ ติดตามผลการรักษา อย่างน้อย 3 ปี. ตัวชี้วัดผลหลักคือ ภาวะรวมของการป่วยหรือตายด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือผ่านการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ(revascularization).
ผลการศึกษา ทบทวน งานวิจัย 12 รายงานที่เข้าเกณฑ์คุณภาพพบว่ายาลดไขมันในเลือดมีประสิทธิผลในการป้องกันภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานได้พอๆกับในคนที่ไม่เป็นเบาหวาน โดยสามารถลดอัตราเสี่ยงสัมพัทธ์ต่อการเกิดอาการโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (relative risk reduction) ได้ร้อยละ 21 ในคนเป็นเบาหวาน และลดร้อยละ 23 ในคนไม่เป็นเบาหวาน. แต่ถ้าดูอุบัติการณ์ต่อการเกิดโรคหัวใจ (การป้องกันปฐมภูมิ) ที่การกินยา statin สามารถลดลงได้จริง (absolute risk reduction) ทั้งในกลุ่มเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน.ยานี้ลดอุบัติการณ์ได้เพียงร้อยละ 2 เท่ากัน ส่วนผลในการรักษาแบบทุติยภูมิ สามารถลดการเกิดโรคซ้ำได้ร้อยละ 7 ในกลุ่มเบาหวาน และลดลงร้อยละ 5 ในกลุ่มไม่มีเบาหวาน.
ผลสรุป ยาลดไขมัน สามารถลดความเสี่ยงต่อ โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ทั้งในกลุ่มเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน แต่ได้ผลในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าเล็กน้อย. แม้ว่าการศึกษาจำนวนมากยืนยันประสิทธิผลของ statin ในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หรือการป้องกันการเกิดซ้ำ. แต่ระดับไขมันที่ควรเริ่มการรักษาและเป้าหมายของระดับไขมันควรเป็นเท่าไหร่ยังไม่มีข้อสรุปที่ยอมรับกันชัดเจน.
วิชัย เอกพลากร พ.บ., Ph.D., รองศาสตราจารย์, ศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล
รามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 2,523 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้