ในช่วงไม่นานที่ผ่านมานี้พบเหตุการณ์ 3-4 รื่องที่สะท้อนถีงปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบท และหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิและการแสวงหาทางออกในการแก้ปัญหานี้.
เรื่องแรก บังเอิญได้พบแพทย์จบใหม่ (ที่เป็นลูกศิษย์) เล่าว่าเป็นรุ่นที่กำลังทำงานใช้ทุนปีที่ 3 ตอนนี้ได้ลาออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ แล้วตอนใช้ทุน 2 ปีแรกได้ทำงานที่ภาคตะวันออก.
ปีที่ 2 ทำงานที่โรงพยาบาลชุมชน งานหนัก คนไข้เยอะ แพทย์น้อย แม้จะได้ค่าตอบแทนเดือนละ
40,000-50,000 บาท ก็รู้สึกไม่คุ้มเหนื่อยจึงยอมให้ปรับเงิน (ที่ใช้ทุนขาดไป 1 ปี) แล้วออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนตามคำชวนของแพทย์รุ่นพี่ๆ เพื่อหาเงินเก็บ แล้วปีหน้าค่อยมาฝึกเป็นแพทย์ประจำบ้านในโรงเรียนแพทย์. เขายังเล่าว่า เพื่อนรุ่นเดียวกันก็พากันเดินมาบนเส้นทางแบบนี้กันเป็นส่วนใหญ่. เขาบอกว่าโดยความรู้สึกส่วนตัว การทำงานที่โรงพยาบาลชุมชนนั้นได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และรู้สึกตนเองมีคุณค่า แต่จำเป็นต้องเลือกเดินตามเส้นทางของแพทย์ส่วนใหญ่.
เรื่องที่สอง ขณะไปพบและพูดคุยกับแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน 2-3 แห่ง ที่มีการ ส่งนักศึกษาแพทย์ไปฝึกงานในวิชาเวชศาสตร์ชุมชนที่ผมรับผิดชอบอยู่. ตอนท้ายมีคำถามว่า" วิชานี้ทำให้นักศึกษาแพทย์ชอบทำงานชุมชนบ้างไหม?" ซึ่ง เป็นคำถามที่ทำให้รู้สึกสะอึก. จากประสบการณ์ในการพานักศึกษาแพทย์ไปฝึกที่ชุมชน พบว่าวิชานี้ได้เปิดให้นักศึกษาได้สัมผัส และเข้าใจปัญหาของชุมชนและบทบาทของแพทย์ที่มีต่อชุมชน. ในระยะสั้น บางคนมีจิตใจอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ และมองปัญหาผู้ป่วยแบบองค์รวมได้มากยิ่งขึ้น. แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้หันมาชอบงานชุมชน. เมื่อจบแล้วก็มีปัจจัยทางสังคมอันมากมายที่ผลักดันให้แพทย์ หนีห่างจากชุมชน. แม้แต่นักศึกษาแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพื่อชนบท เมื่อจบแล้ว ก็มีน้อยคนที่ สามารถยืนหยัดทำงานในชนบท.
เรื่องที่สาม มีแพทย์ชนบทบางท่านได้มาปรารภถึงความเป็นไปได้ในการใช้โรงพยาบาลชุมชนเป็นฐานการผลิตแพทย์เพื่อชนบทแบบเดียวกับโครงการผลิตพยาบาลเพื่อชนบท ซึ่งโรงพยาบาลชุมชนบางแห่ง
ได้ดำเนินการร่วมกับคณะพยาบาลศาสตร์และอบต.ไปแล้ว.
ขณะเดียวกันก็มีกระแสการดูงานของแพทย์และผู้บริหารทั้งฝ่ายผลิตและผู้ใช้แพทย์ เกี่ยวกับหลักสูตรการผลิตแพทย์โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการเรียนรู้ และหลักสูตรแพทย์ที่เน้นความรู้คู่คุณธรรมของมูลนิธิฉือจี้ที่ไต้หวัน.
เรื่องที่สี่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้มีงบลงทุนเพื่อพัฒนาบริการปฐมภูมิในการจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบสุขภาพ. มีการจัดสรรงบจำนวนหนึ่งในการเพิ่มค่าตอบแทน แก่แพทย์ที่ทำงานที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิแบบเต็มเวลา. ทั้งนี้หวังว่าจะสามารถสร้างแรงจูงใจแก่แพทย์ ในการทำงานในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป. เชื่อว่าการมุ่งพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิให้เข้มแข็งจะเป็นทิศทางและยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินต่อไปอย่างยาวนานเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์.
เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงว่ามีผู้คนจำนวนมากขึ้น ที่ได้มองเห็นปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบทและหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ และได้เสนอแนวคิดและยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังมาก ขึ้น.
ความจริงปัญหานี้ได้ดำรงอยู่มาช้านานและมีการพูดคุยกันมาตลอด นับตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ เคยมีการตั้งประเด็นว่าจะเริ่มแก้ที่ไก่หรือไข่ก่อน. ไก่ คือ ระบบบริการ ไข่ คือ การผลิตแพทย์. ถึงวันนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า" ไก่ " (ระบบบริการ) ได้เกิดการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่แล้ว. แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้" ไข่ " (การผลิตแพทย์) ยังขยับตัวยาก. แม้ว่าล่าสุดที่มีโครงการ ODOD (หนึ่งแพทย์หนึ่งอำเภอ) โดยได้เริ่มรับนักศึกษาเข้าเรียนแพทย์แล้วแต่ก็รู้สึกห่วงใยว่า จะประสบความสำเร็จในการสร้างแพทย์ที่รักชนบทรักชุมชนได้มากน้อยแค่ไหน
ผมเห็นว่าถึงเวลาที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่า แพทยสภา โรงเรียนแพทย์ สปสช. ชมรมแพทย์ชนบท นักการศึกษาและชุมชนจะต้องร่วมกันในการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติให้ชัดเจนในการพัฒนาแพทย์ที่มีความรู้ ทักษะ และเจตคติ ในการทำงานในชุมชนอย่างยั่งยืน.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
- อ่าน 4,207 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้