ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางผ่านบริเวณอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ได้เห็นว่ามีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของ package "ท่อก๊าซระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย" ไปกว่าครึ่งแล้ว โดยคาดว่าหลังจากโรงไฟฟ้าแล้ว ก็จะตามมาด้วยโรงงานแยกก๊าซ กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอีกหลากหลายอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตจากการแยกก๊าซเป็นวัตถุดิบ.
ประเด็นท่อก๊าซที่สงขลานี้ ได้มีการเรียกร้องจากฝ่ายประชาชนในพื้นที่ ให้รัฐบาลดำเนินการด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดตามมา. อย่างไรก็ตามการเกิดมีของท่อก๊าซและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่ได้ก่อเฉพาะผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้นหากแต่ยังอาจก่อผลกระทบต่อสุขภาพต่อคนทำงานในโรงไฟฟ้า โรงแยกก๊าซ โรงงานปิโตรเคมีและโรงงานอื่นๆ รวมทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบที่ควรได้รับการ เตรียมการป้องกันก่อนที่จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะเฉียบพลันและระยะยาว.
ผลกระทบต่อสุขภาพที่สำคัญ อาจแยกได้เป็น 3 ประเด็นหลัก คือ การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการรั่วไหล ติดไฟและระเบิดของก๊าซธรรมชาติซึ่งอยู่ในท่อส่งหรือโรงงานแยกก๊าซ พิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังจากการสัมผัสสารตัวทำละลายที่เกิดจากกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี. อนึ่ง การลดผลกระทบต่อสุขภาพประเด็นแรกนั้น คือ การจัดมาตรการระมัดระวังไม่ให้เกิดการรั่วไหลหรือติดไฟของก๊าซ รวมทั้งการเตรียมรับมือให้ทันการณ์หากเกิดเหตุขึ้น เพื่อสามารถระงับเหตุได้ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต. สำหรับประเด็นพิษจากสารตัวทำละลายนั้น ต้องประเมินว่าคนทำงานและประชาชนทั่วไปที่อาศัยในบริเวณโรงงาน อุตสาหกรรมที่ผลิตหรือใช้ตัวทำละลาย มีโอกาสได้รับสารชนิดใดบ้างเป็นปริมาณความเข้มข้นเท่าใด และสัมผัสเป็นระยะเวลานานเท่าใด. จากนั้นทำการลดความเสี่ยงด้วยการสัมผัสให้น้อยที่สุด เช่น เข้าไปในบริเวณความเข้มข้นสูงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น หรือใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ได้แก่ หน้ากากกรองสารตัวทำละลาย ชุดป้องกันสารเคมี รวมทั้งการตรวจสุขภาพพนักงานและประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นระยะ เพื่อประเมินโอกาสเจ็บป่วยหากพบว่ามีโอกาสสูงเมื่อใดจะได้ทำการแก้ไขให้กลับสู่ภาวะปลอดภัยให้เร็วที่สุด.
ตัวทำละลาย
ก่อนที่จะกล่าวถึงพิษสารตัวทำละลาย จะต้อง แนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับสารเคมีกลุ่มนี้โดยสังเขปก่อน สารตัวทำละลาย หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า solvent นั้น ส่วนมากเป็นของเหลว (liquid) ซึ่งมีคุณสมบัติหลักในการทำให้สารตัวอื่นเกิดการ " ละลาย". ยกตัวอย่างเช่น น้ำ (H2O) ถือว่าเป็นตัวทำละลายครอบจักรวาล (universal solvent) เนื่องจากทำให้สารหลายชนิด เช่น น้ำตาล เกลือ สี ผสมอาหาร ละลายกลายเป็นสารละลายได้.
สารตัวทำละลายที่ใช้กันมากในอุตสาหกรรม คือ สารตัวทำละลายอินทรีย์ (organic solvent) อันหมายความถึงตัวทำละลายที่มีธาตุคาร์บอน (C- carbon) เป็นหลัก และอาจมีธาตุอื่นผสมด้วย โดยเฉพาะไฮโดรเจน (H-hydrogen) ไนโตรเจน (N- nitrogen) ออกซิเจน (O-oxygen) ฟอสฟอรัส (P- phosphorus) และกำมะถัน (S-sulfur). ตัวอย่างสารตัวทำละลายอินทรีย์ที่ท่านผู้อ่านอาจเคยได้ยินชื่อมาก่อน คือ เอธานอล (ethanol) อะซีโตน (acetone) เฮกเซน (hexane) และโทลูอีน (toluene) ซึ่งสารตัวทำละลายเหล่านี้ใช้กันมากในการละลายสี (paints) การทำน้ำมันเคลือบเงา (varnishes) แลกเกอร์ (lacquers) การละลายคราบไขมัน (industrial cleaners) และการผสมหมึกพิมพ์ (printing inks).
กล่าวโดยสรุป วัตถุดิบตั้งต้นของการผลิตตัวทำละลายอินทรีย์เหล่านี้ คือ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเมื่อทำการแยกส่วนประกอบแล้ว ก็กลายเป็นวัตถุดิบสำคัญของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อผลิตตัว ทำละลายอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมผลิตสี แล็กเกอร์ พลาสติก เส้นใย เรซิน ยางสังเคราะห์ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติที่ประกอบกิจการหลักบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด). รวมทั้ง สารตัวทำละลายเหล่านี้ยังจำเป็นสำหรับกิจการขนาดย่อยในชุมชนหลายประเภท เช่น โรงพิมพ์ อู่พ่นสีรถยนต์ ร้านชุบโลหะ กิจการทาสี ดังนั้น สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคจึงได้กำหนดให้โรคหรืออาการผิดปกติจากการสัมผัสสารตัวทำละลาย 4 ชนิดเป็นโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมที่ควรรายงาน. สำหรับบริบทประเทศไทย ได้แก่ เบนซีน (benzene) สไตรีน (styrene) โทลูอีน (toluene) และไตรคลอโรเอธิลีน (trichloroethylene).
โรคพิษเบนซีน (benzene poisoning)
เกิดจากการได้รับเบนซีนเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ ทางผิวหนังหรือทางปาก. ทั้งนี้ การทำงานที่อาจสัมผัสเบนซีน ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตสารทำละลาย อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและปิโตรเคมี. งานบริการต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน อู่ซ่อมเครื่องยนต์ รถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตพลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ อุตสาหกรรมผลิตสี หมึกพิมพ์ กาว น้ำยาทำความสะอาดและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่มีตัวทำละลายเป็นองค์ประกอบ เช่น การผลิตรองเท้า วงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และห้องปฏิบัติการทางเคมี. สำหรับการสัมผัสในสิ่งแวดล้อม อาจเกิดจากการอยู่อาศัยใกล้โรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเบนซีน รวมทั้งการสูบบุหรี่.
ลักษณะทางเวชกรรม ที่พบจากการสัมผัสเบนซีนแยกเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง
1. พิษเฉียบพลัน ความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นที่ได้รับ ถ้าได้รับมากกว่า 20,000 ppm ใน 5-10 นาทีอาจเสียชีวิตได้. สำหรับความเข้มข้นที่ต่ำกว่านี้ มักเกิดอาการมึนงง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาจเกิดการระคายเคืองตา เยื่อบุทางเดิน หายใจ ผิวหนังและเยื่อบุกระเพาะอาหาร หากสัมผัสบริเวณผิวหนังนานๆ ทำให้ผิวหนังร้อนแดง เป็นผื่นนูน แห้ง ตกสะเก็ด ในรายที่รุนแรงอาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การหายใจล้มเหลวได้.
2. พิษเรื้อรัง มักเกิดจากการสัมผัสเบนซีนที่ความเข้มข้นต่ำเป็นระยะเวลานานอาจมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้ คือ
¾ ระบบประสาททำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หงุดหงิด กระวนกระวาย การตัดสินใจไม่ดี นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองถูกทำลาย มีความผิดปกติของเส้นประสาทสมอง.
¾ ระบบผิวหนังทำให้ผิวหนังแห้ง เป็นผื่นแดง พุพอง เป็นสะเก็ด.
¾ พิษต่อไขกระดูก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำเกิดภาวะเลือดจางแบบ aplastic anemia อาจทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยส่วนใหญ่เป็นชนิด acute myeloblastic leukemia (AML).
การตรวจพิเศษเพื่อยืนยันการสัมผัสเบนซีน คือ การตรวจสารฟีนอล (phenol) ในปัสสาวะ โดยเก็บปัสสาวะขณะเลิกงาน. สำหรับคนทำงานที่สัมผัสเบนซีนความเข้มข้น 10 ppm เป็นเวลา 8 ชั่วโมง (ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานการสัมผัสสำหรับคนทำงาน) ถือว่าผลผิดปกติหากพบฟีนอลมากกว่า 50 มก./กรัมครีอะ ตินิน. ทั้งนี้ หากตรวจระดับฟีนอลในประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้สัมผัสเบนซีน จะพบว่ามีระดับต่ำกว่า 10 มก./กรัมครีอะตินิน. นอกจากการตรวจปัสสาวะแล้ว อาจตรวจระดับเบนซีนในเลือด แต่ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากช่วงเวลาที่เบนซีนอยู่ในเลือดนั้นสั้นมากจนมักตรวจไม่พบ.
โรคพิษสไตรีน (styrene poisoning)
เกิดจากการได้รับสไตรีนเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจและทางผิวหนัง ทั้งนี้ ประชากรกลุ่มเสี่ยงคล้ายคลึงกับการสัมผัสเบนซีน คือ คนทำงานหรือประชาชนที่อาศัยใกล้โรงงานที่ใช้สไตรีน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตตัวทำละลาย การผลิตโพลีสไตรีน (โฟม) การผลิตกาว แล็กเกอร์ สี เส้นใย ยางเทียม อุตสาหกรรมโพลีเมอร์และโคโพลีเมอร์ เช่น polystyrene, acrylonitrile-butadiene-styrene (ABS) อุตสาหกรรมทำฉนวนกั้นน้ำหรือความร้อนและภาชนะบรรจุสารเคมี การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตสารแขวนตะกอนและการสังเคราะห์สารเคมีอื่นๆ.
ลักษณะทางเวชกรรมของการสัมผัสสไตรีน คล้ายกับการสัมผัสเบนซีน คือ พิษเฉียบพลัน ทำให้มีอาการระคายเคืองตา ริมฝีปาก เยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน เกิดผิวหนังอักเสบ. ถ้าได้รับปริมาณมากๆจะเกิดผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการง่วงนอน มึนงง ขาดสมาธิ การทรงตัวไม่สมดุล บางรายเป็นตะคริวรุนแรงจนเสียชีวิต พิษเรื้อรังมีอาการคล้ายกับพิษเฉียบพลัน แต่ผลต่อประสาทส่วนกลางจะมากขึ้น เช่น ทำให้ความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย การทำงานของกล้ามเนื้อและการตอบสนองสิ่งกระตุ้นลดลง เยื่อบุโพรงจมูกแดงและอักเสบเรื้อรัง. อย่างไรก็ตาม สไตรีนต่างจากเบนซีน เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสไตรีนก่อมะเร็ง.
การตรวจพิเศษเพื่อยืนยันการสัมผัสสไตรีน คือ การตรวจระดับกรดแมนเดลิก (mandelic acid) ในปัสสาวะ โดยเก็บปัสสาวะขณะเลิกงานเช่นกัน ถือว่าผลผิดปกติถ้ามีระดับกรดแมนเดลิกมากกว่า 800 มก./กรัมครีอะตินิน หรือถ้าเก็บปัสสาวะในช่วงเข้าทำงาน ถือว่าผลผิดปกติ ถ้ามีระดับมากกว่า 300 มก./กรัม ครีอะตินิน.
โรคพิษโทลูอีน (toluene poisoning)
เกิดจากการรับโทลูอีนเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ ทางผิวหนังหรือทางปาก ประชากรกลุ่มเสี่ยง คือ คนทำงานในอุตสาหกรรมต่อไปนี้ คือ อุตสาหกรรมผลิตทินเนอร์ สี แล็กเกอร์ กาว อุตสาหกรรมผลิตหมึกพิมพ์ ยาง เรซิน พลาสติก เครื่องหนัง การผลิตยา สารเคมี โดยเฉพาะ benzoic acid (ยากันบูด), saccharin (น้ำตาลเทียม), benzaldehyde และ toluene diisocyanate. นอกจากนั้น โทลูอีนยังเป็นส่วนประกอบของน้ำมันเครื่องบินและวัตถุระเบิดอีกด้วย. นอกจากคนทำงานแล้ว กลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่มที่พบมาก คือ วัยรุ่นที่นิยม "ดมกาว" และประชาชนที่อาศัยรอบโรงงานที่ใช้โทลูอีน.
ลักษณะทางเวชกรรม แยกเป็นพิษเฉียบพลันและเรื้อรังเช่นกัน โดยพิษเฉียบพลัน ทำให้แสบร้อนในคอ เสียงแหบ ระคายเคืองผิวหนัง มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เกิดอาการเคลิ้มฝัน อารมณ์ดี (เช่นที่พบในกลุ่มดมกาว) หากได้รับปริมาณมากๆ อาจมีผลต่อปอดและหัวใจ จนหมดสติและเสียชีวิตได้. ส่วนพิษเรื้อรังนั้น การได้รับโทลูอีนติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ความจำเสื่อม อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ สติปัญญาทึบ สับสนกระวนกระวาย ตัดสินใจไม่ได้. บางครั้งมีพฤติกรรมรุนแรงเนื่องจากสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ถูกทำลาย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง บางคนเป็นนิ่วในไตจากภาวะ renal tubular acidosis.
การตรวจพิเศษ อาศัยการตรวจระดับกรดฮิปปูริก (hippuric acid) ในปัสสาวะภายหลังการสัมผัส ทันทีหรือขณะเลิกงาน โดยถือว่าผลผิดปกติหากพบกรดฮิปปูริกมากกว่า 1,600 มก./กรัมครีอะตินิน. อย่างไรก็ตาม การกินอาหารบางชนิดที่มี benzoic acid สูง อาจทำให้ตรวจพบกรดฮิปปูริกในปัสสาวะสูงได้ เช่น ผลแครนเบอร์รี่ (cranberry) และเครื่องดื่ม ประเภทน้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่ใส่ benzoic acid ปริมาณมาก.
โรคพิษไตรคลอโรเอธิลีน (trichloroethylene poisoning)
เกิดจากการได้รับไตรคลอโรเอธิลีนเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ ผิวหนังและปาก. ประชากรกลุ่มเสี่ยง คือ คนทำงานในอุตสาหกรรมที่ใช้ตัวทำละลายประเภทนี้ในการล้างและกำจัดคราบไขมัน ทำความสะอาดโลหะหรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ก่อนชุบเคลือบโลหะ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมัน ไขมัน ขี้ผึ้ง น้ำยาซักแห้ง น้ำยาลบคำผิด น้ำยาดับเพลิง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) และอุตสาหกรรมสังเคราะห์สารอินทรีย์เคมี. สำหรับการสัมผัสจากสิ่งแวดล้อมพบได้จากการใช้น้ำยาที่มีไตรคลอโรเอธิลีนเป็นส่วนผสมตามบ้านเรือน เช่น น้ำยาซักแห้ง รวมทั้งการดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนไตรคลอโรเอธิลีน.
ลักษณะทางเวชกรรมแยกเป็นพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง กล่าวคือ
1. พิษเฉียบพลัน หากหายใจรับไอไตร-คลอโรเอธิลีนปริมาณน้อยๆ ในระยะเวลานั้น ทำให้เกิดอาการตื่นเต้น เคลิ้มฝัน อารมณ์ดี ถ้าได้รับมากๆ เกิดอาการเวียนศีรษะ มึนงง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ หัวใจเต้นผิดปกติ หมดสติหรือเกิดอาการปอดอักเสบได้. การได้รับสารความเข้มข้นสูงทางปาก ทำ ให้เกิดการทำลายเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นแผลไหม้ แสบร้อนในคอและหลอดอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีตุ่มพอง หากกระเด็นเข้าตา ทำ ให้เยื่อบุตาอักเสบและไหม้. นอกจากนั้น ได้เคยมีรายงานคนทำงานชาวไทยเกิดอาการ Steven Johnson Syndrome จากการสัมผัสไตรคลอโรเอธิลีนด้วย.2
2. พิษเรื้อรัง การได้รับไตรคลอโรเอธิลีนความเข้มข้นต่ำเป็นเวลานาน เกิดภาวะกดการทำงานของสมอง ทำให้มีอาการง่วงซึม ไม่รับรู้สภาพต่างๆ มึนงง ปวดศีรษะ สับสน เหนื่อยหน่าย และไม่มีสมาธิ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาจพบการอักเสบที่ตับและไตอย่างเรื้อรัง. การสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบรุนแรง มีลักษณะแห้งแดง แตกเป็นร่อง.
การตรวจพิเศษ อาศัยการตรวจ trichloroacetic acid หรือ trichloethanol ในปัสสาวะ โดยถ้าตรวจหลังจากเลิกงานตลอดสัปดาห์ ถือว่าผลผิดปกติหากมีระดับ trichloroacetic acid สูงกว่า 100 มก./กรัมครีอะตินิน หรือตรวจพบอนุพันธ์ทั้ง 2 ชนิดรวมกันมากกว่า 300 มก./กรัมครีอะตินิน นอกจากนี้ อาจตรวจระดับไตรคลอโรเอธิลีนในเลือด ภายหลังเลิกการทำงานตลอดสัปดาห์ โดยถือว่าผิดปกติหากพบสูงกว่า 4 มก./ล.
ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยว่าการรู้เท่าทันการสัมผัสสารตัวทำละลายเหล่านี้ ที่อาจเกิดจากการผลิตและใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรม " ตามน้ำ " อื่นๆ ดังกล่าวมาแล้ว ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่ากลุ่มเสี่ยงจะเกิดอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วยอะไรได้บ้าง ทำให้สามารถตรวจพบและจัดการแก้ไขเพื่อลดการสัมผัสได้ทันท่วงทีก่อนจะกลายเป็นพิษเรื้อรัง. ทั้งนี้ ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความเสี่ยงในการก่อมะเร็งของเบนซีน ต่อพนักงานที่สัมผัสเบนซีนต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้ที่ระดับความเข้มข้นต่ำ และการเกิดอาการทางระบบประสาทส่วนกลางและการทำลายสมองของโทลูอีนในกลุ่มวัยรุ่นที่รับจ้างทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรืออุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ใช้โทลูอีน ประกอบกับการสูดดมกาวเองนอกเวลางาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงและการก่ออาชญากรรมได้.
เอกสารอ้างอิง
1. แสงโฉม เกิดคล้าย, บรรณาธิการ. แนวทางการวินิจฉัยเพื่อการรายงานโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. พิมพ์ครั้งที่ 1. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, สิงหาคม 2547:หน้า 34 - 41.
2. Pantuchareonsri S, et al. Generalized Eruption Accompanied by Hepatitis in Two Thai Metal Cleaners Exposed to Trichloroethylene. Industrial Health 2004, 42, 385-388.
ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.,DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข
E-mail address : [email protected]
- อ่าน 11,241 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้