ทิศทางของประเทศในยุคปฏิรูประยะนี้ได้เน้นหลัก " เศรษฐกิจพอเพียง"และดัชนีชี้วัดความผาสุกของประชาชน. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ความสำคัญในเรื่อง ความพอประมาณ (การประเมินศักยภาพ) ความมีเหตุมีผล (ในการบริโภค) และการสร้างภูมิคุ้มกัน (ป้องกันความเสี่ยงทั้งทางด้าน การเงิน และศีลธรรม) ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบอื่นๆ ได้.
สำหรับ "ระบบสุขภาพพอเพียง" (การใช้ปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" มาพัฒนาระบบสุขภาพ) ตามความเข้าใจส่วนตัวของผม น่าจะหมายถึงการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนทั้งมิติทางกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ โดย
1. อยู่บนพื้นฐานปัญหาความเป็นจริงของชุมชน โดยมีการประเมินปัญหาสุขภาพที่พบในชุมชน ปัจจัยที่กำหนดปัญหาและศักยภาพของชุมชนและระบบบริการสุขภาพในการจัดการกับปัญหา.
2. มีเหตุมีผลตามหลักวิชา ในการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้ รักษาโรคที่สามารถรักษาได้ และดูแลโรคที่สิ้นหวัง (หมดทางเยียวยา) และการตายอย่างมีคุณภาพ ประหยัด ประสิทธิภาพและเป็นธรรม.
3. สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน และระบบ บริการสุขภาพในการจัดการ (ป้องกันและควบคุม)กับปัญหาสุขภาพ โดยเน้นที่กระบวนการสร้างเสริม สุขภาพของชุมชน และการพัฒนาคุณภาพของระบบบริการสุขภาพ.
ปัญหาสำคัญที่พบในปัจจุบัน ก็คือ
♦ ประชาชนยังป่วยและตายด้วยโรคที่ป้องกัน ได้ เช่น อุบัติเหตุ เอดส์ โรคหัวใจและหลอดเลือดภาวะไตวาย มะเร็งบางชนิด โรคที่เกิดจากพิษบุหรี่และแอลกอฮอล์ ปัญหาทุพโภชนาการ (ทั้งที่พร่องและเกิน) ผลข้างเคียงจากยา เป็นต้น ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยด้านประชาชน (การขาดความรู้และความตระหนัก ความยากจน ความเครียด พฤติกรรมเสี่ยง) ปัจจัยทางสังคม (ค่านิยม การกระตุ้นการบริโภคที่ไม่เหมาะสม การขาดความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ) และ ระบบบริการสุขภาพ (การขาดแคลนทรัพยากร ความด้อยคุณภาพและประสิทธิภาพ).
♦ การใช้บริการสุขภาพของประชาชนยังไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่เหมาะสม. ส่วนมากยังไม่เชื่อถือสถานบริการในชุมชน (ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการพัฒนาสถานบริการเหล่านี้ให้เข็มแข็ง) และเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองเมืองใหญ่ และกรุงเทพฯ. บางส่วนก็ยังนิยมเปลี่ยนโรงพยาบาลตามอำเภอใจ ทำให้โรงพยาบาลมีภาระงานล้นเกิน มีสภาพโกลาหล และไม่สามารถจัดบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เกิดความสิ้นเปลืองของทุกฝ่าย รวมทั้งต้องทุ่มเททรัพยากรในการจัดการกับโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนอันเป็นผลแทรกซ้อนจากการขาดการดูแลรักษาโรคให้มีคุณภาพตั้งแต่แรก เช่น ไตวายระยะท้าย มะเร็งระยะท้าย เป็นต้น.
ดังนั้น หากยึดแนวทางการพัฒนาระบบสุขภาพพอเพียง ก็ควรจะให้ความสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรค โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งในเรื่องต่อไปนี้
1. การสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการ มาหลายปีแล้ว และมีกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ช่วยในการขับเคลื่อน. ขณะนี้ได้เห็นกระแสความตื่นตัวในหลายด้าน เช่น การรณรงค์เรื่องบุหรี่ แอลกอฮอล์ อุบัติเหตุ การออกกำลังกาย อาหารสุขภาพ การรวมตัวของชมรมคนรักสุขภาพในจังหวัดต่างๆ เป็นต้น. ควรขยายงานด้านนี้ให้กว้างขวางและเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบคลุมกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่ออนาคตของประเทศ. ที่ผ่านมาเด็กและเยาวชนถูกมอมเมา ด้วยกระแสวัตถุนิยม และบริโภคนิยม จนเกิดปัญหาความฟุ้งเฟ้อ การบูชาเงินเป็นพระเจ้า การเสพสุขทางวัตถุ การมีเพศสัมพันธ์แบบเสรีและไม่ปลอดภัย การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การติดเชื้อเอดส์ ปัญหายาเสพติดและความรุนแรง เป็นต้น. ปัญหาเหล่านี้ไม่ เพียงจำกัดอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ยังแผ่กระจายลงสู่ระดับอำเภอต่างๆ. การพัฒนาคุณภาพและสุขภาวะของ เด็กและเยาวชน ควรเน้นที่การพัฒนาปัญญาควรคู่กับคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา. นโยบายการศึกษาที่เน้นคุณธรรมคู่ความรู้ ควรทำให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และยั่งยืน (เช่น ควรแบ่งเวลาให้เด็กได้ทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกาย สติปัญญา คุณธรรม ทักษะชีวิต ไม่ใช่เรียนแต่วิชาในหนังสือ) ขณะเดียวกันระบบบริการสุขภาพควรให้ความสำคัญแก่สุขภาพเด็ก และวัยรุ่นให้มากขึ้น ควบคู่กันไป.
กลุ่มวัยทำงาน (ตามโรงงาน สถานประกอบการ หน่วยงาน) ควรมีกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพกายและจิต และเน้นเรื่องปรัชญาพอเพียงในทุกแห่ง.
2. การป้องกันโรค ควรพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันโรค (เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดนก เอดส์ อุบัติเหตุ โรคทางอาชีวอนามัย เป็นต้น) ให้ได้ผล.
3. การควบคุมโรค ควรพัฒนาระบบและกลไกในการตรวจกรองโรค (ค้นหาโรคระยะแรกเริ่ม) และการดูแลรักษาให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ เช่น มะเร็งเต้านมและปากมดลูกระยะแรก เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน เป็นต้น.
ทั้งนี้ จำเป็นต้องพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้เข้มแข็ง โดยการทบทวนและพัฒนาแผนกำลังคนให้พอเพียงกับความต้องการและมีการกระจายตัวที่เหมาะสม, การพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และยั่งยืน ควรทบทวนการจัดสรรงบประมาณ ระบบการจ่ายร่วม (copayment) รวมทั้งการเก็บภาษีสุขภาพหรือเบี้ยประกันสุขภาพ เพื่อให้มีกองทุนมากพอที่จะจัดบริการที่มีคุณภาพ, การพัฒนาระบบบริการสุขภาพระดับอำเภอ (โรงพยาบาลชุมชนและเครือข่ายบริการปฐมภูมิ) ให้เข้มแข็งโดยการจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ, การพัฒนาเครือข่ายความเชื่อมโยงภายในระบบบริการสุขภาพ (ระหว่างสถานบริการระดับต่างๆ) ระบบบริการสุขภาพกับภาคส่วนอื่นๆ, การนำภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น และระบบการแพทย์ทางเลือก, มาประยุกต์ในการดูแลสุขภาพ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีภาคส่วนต่างๆ และชุมชนในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนและ การจัดระบบบริการสุขภาพที่พึงประสงค์.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
- อ่าน 19,202 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้