6 ปีที่ผ่านมา การรณรงค์เมาไม่ขับได้ปลุกกระแสความตื่นตัวต่อปัญหาอุบัติเหตุอันเนื่องจากการดื่มสุรา แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานสนับสนุนว่า การรณรงค์เมาไม่ขับสามารถลดความสูญเสียจากปัญหานี้ได้ชัดเจน หากอาศัยระดับแอลกอฮอลในผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน (ไม่ใช่อาศัยจมูกหรือประสาทสัมผัสอื่นๆของบุคลากรในห้องฉุกเฉิน เพื่อแยกแยะว่าดื่มหรือไม่ดื่ม อย่างที่มักอ้างกันในรายงานของหน่วยงานต่างๆ) ล่าสุดการสำรวจผู้ขับขี่ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548-พฤษภาคม พ.ศ. 2549 อาจให้ความหวังลางๆ เกี่ยวกับผลกระทบของการรณรงค์เมาไม่ขับ กล่าวคือ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขในช่วงสงกรานต์ปี พ.ศ. 2548 ปรากฏว่าร้อยละผู้ขับขี่ที่ตรวจลมหายใจพบแอลกอฮอลระดับผิดกฎหมายในการวิจัยนี้ (11 ใน 1,000 คน) ต่ำกว่าถึงเกือบ 5 เท่า. สาเหตุที่อาจเป็นไปได้คือ ประการแรก ตัวเลขที่พบในการวิจัยนี้น่าจะต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเก็บข้อมูลเฉพาะเวลากลางวันและหัวค่ำก่อนสถานีน้ำมัน ปิดบริการ ประการที่สอง การวิจัยนี้เป็นการตรวจ เฉพาะผู้ที่สมัครใจเท่านั้น และประการสุดท้าย เป็นการตรวจในเวลาปกติ ซึ่งผิดกับช่วงสงกรานต์อันเป็นเวลาแห่งความรื่นเริงที่คนนิยมดื่มสุรา มากกว่าเวลาปกติ. กระนั้นก็ตามหากเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในช่วงเวลาปกติเช่นกันเมื่อปี พ.ศ. 2540 ซึ่งการรณรงค์ทางกฎหมายและสื่อมวลชนไม่เข้มข้นเท่าในปัจจุบัน ปรากฏว่าตัวเลขคนขับขี่ที่มีแอลกอฮอลระดับที่ผิดกฎหมายในรายงานนี้ยังต่ำกว่าตัวเลขที่น้อยที่สุด (34 ใน 1,000 คน ในเวลากลางวัน) ของผลการสำรวจเมื่อ 10 ปีก่อน บ่งชี้ว่า การรณรงค์ในปัจจุบันอาจได้ผลในระดับหนึ่ง.
ในอีกด้านหนึ่ง เสียงบ่นจากผู้ปฏิบัติระดับพื้นที่ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเกี่ยวกับปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายยังดำรงอยู่. ข้าราชการโดยเฉพาะซีสูงๆ มักปฏิเสธที่จะเป่าลมหายใจให้ตรวจ แถมหลายรายยังคุกคามตำรวจด้วยท่าทีต่างๆ สะท้อนให้เห็นบริบทของสังคมอำนาจนิยม อันเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการบังคับใช้กฎหมาย.
ตำรวจที่อยากทำงาน ยังต้องดิ้นรนแสวงหาเครื่องมือตรวจลมหายใจ ทั้งๆ ที่ได้มีการจัดสรรเครื่องมือนี้ด้วยงบประมาณจำนวนไม่น้อยในช่วง 3-4 ปีมานี้ โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบจัดสรรเครื่องมือชัดเจนทั้งในภาครัฐและนอกภาครัฐ. นี่คือข้อบ่งชี้จุดอ่อนในการบริหารจัดการทั้งในและนอกภาครัฐในส่วนของการสนับสนุนกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย.
ผู้เขียนไม่อาจยืนยันว่า อุปสรรคที่กล่าวมานี้เป็นภาพใหญ่หรือภาพย่อย แต่ยืนยันแน่นอนว่า อย่างน้อยระบบกำกับติดตาม และประเมินการทำงานเพื่อส่งเสริมเมาไม่ขับยังมีโอกาสพัฒนาอีกมาก.
ทุกวันนี้ ไม่มีโรงพยาบาลใดสามารถให้ตัวเลขระดับแอลกอฮอลของผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินได้อย่างน่าเชื่อถือและต่อเนื่องสม่ำเสมอ.
ทุกวันนี้ไม่มีหน่วยงานใดสามารถบอกได้แน่ชัดว่า ตำรวจร้อยละเท่าใดที่มีความพร้อมด้านเครื่องมือตรวจลมหายใจ ด้านแรงจูงใจที่จะปฏิบัติงาน และด้านขวัญกำลังใจ.
ทุกวันนี้ ไม่มีใครทราบว่า สถานีตำรวจราว 1,400 แห่งทั่วประเทศมีแผนดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย " เมาไม่ขับ " สอดตามหลักวิชาการสักเพียงใด ฯลฯ.
การวางกลไกและระบบให้ตอบสนองคำถามดังกล่าว จึงเป็นโจทย์ใหญ่ในการให้หลักประกันว่า การแก้ปัญหา " เมาไม่ขับ " ในประเทศไทยจะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป.
(ศาสตราจารย์ นายแพทย์ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล)
- อ่าน 2,329 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้