จากการออกไปสำรวจชุมชน โดยมีเวลาพักแรมอยู่ในชุมชนระยะหนึ่ง พบว่า ชุมชนชนบทยังคงมีระบบเครือญาติหรือเครือข่ายญาติพี่น้องที่เกาะเกี่ยวโยงใยกันอย่างเหนียวแน่น ซึ่งส่งผลต่อการดูแลสุขภาพของปัจเจก บุคคลเป็นอย่างมาก. อาทิเช่น ครอบครัวหนึ่งที่เราไปเยี่ยมนั้น มีลุงกับป้าอยู่กัน 2 คน คุณลุงอายุ 70 ปี คุณป้าอายุ 68 ปี ไม่มีลูก แต่มีพี่น้องและหลานๆอยู่ในละแวกเดียวกันหลายบ้าน.
เมื่อ 4-5 ปีก่อน คุณป้าป่วยเป็นเบาหวาน ติดตามรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัยใกล้บ้าน แม้ว่าส่วนใหญ่ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ดี แต่คุณป้าก็รู้สึกสบายดี สามารถทำงานบ้าน หุงหาอาหารได้.
เมื่อ 8 เดือนก่อน คุณป้าเกิดแผลอักเสบ ที่ง่ามนิ้วเท้าซ้าย แผลตายเน่า นิ้วหลุดไปหนึ่งนิ้ว ต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ นานเป็นเดือน. ระหว่างอยู่โรงพยาบาลก็อาศัยหลานๆ ผลัดกันไปเฝ้าดูแล. ส่วนคุณลุง หลานที่อยู่ใกล้ๆ ก็รับไปอยู่ด้วย เนื่องเพราะคุณลุงเริ่มมีปัญหาเดินเหินไม่สะดวก และดูแลตัวเอง ไม่ได้เต็มที่.
หลังจากออกจากโรงพยาบาล คุณป้าก็ ย้ายไปอยู่ที่บ้านหลานดังกล่าวข้างต้น และต้องให้ญาติพาไปทำแผลที่สถานีอนามัยใกล้บ้านทุกวัน รวมทั้งพาไปตรวจที่โรงพยาบาลตามนัด. คุณป้าไม่สามารถทำงานบ้านได้ดังเดิม อาหารการกินก็อาศัยน้องสาวที่อยู่บ้านหลัง ถัดไปจัดเตรียมให้ บางครั้งก็ให้ผู้ป่วยกินมะม่วงสุกหรือขนมหวาน ระดับน้ำตาลจึงแกว่งขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่ เมื่อแผลเริ่มดีขึ้น เจ้าหน้าที่อนามัยก็สอน ให้คุณป้าทำแผลเองที่บ้าน โดยแวะมาเยี่ยมดูที่บ้านคุณป้าเป็นครั้งคราว.
วันที่เราไปเยี่ยมบ้านคุณป้า เมื่อไม่นาน มานี้พบว่าแผลแห้งหายสนิท. คุณป้ารู้สึกภูมิใจที่สามารถดูแลแผลกันเองจนหายได้ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า "นอกจากยาโรงพยาบาลแล้ว หลานที่อยู่ต่างจังหวัดยังซื้อยา 2 อย่างนี้มาให้กิน เขาบอกว่าใช้รักษาแผลเบาหวานหายมามากแล้ว ป้าก็เชื่อเหมือนกันว่า แผลหายเพราะยานี้". มื่อขอดูตัวยา 2 อย่างที่ผู้ป่วยชื่นชอบก็พบว่าเป็นสมุนไพรบดเป็นผงใส่แคปซูล บอกไม่ได้ว่าเป็นตัวยาอะไร.
จากการเยี่ยมบ้านและการพูดคุยกับผู้ป่วย และญาติๆ ที่ห้อมล้อม เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและแรงสนับสนุนที่ญาติมอบให้กับผู้ป่วย รวมทั้งได้เห็นถึงอารมณ์ขันและคุณภาพชีวิต ที่ดีของผู้ป่วย แม้ว่านิ้วเท้าจะพิการและจะต้องดูแลแผลอยู่นานหลายเดือน.
ในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังและมีความพิการทางร่างกายร่วมด้วย (เช่น อัมพาต ขาพิการ) แรงสนับสนุนของครอบครัว (family support) นับว่ามีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตหรือสุขภาวะของผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง.
ผู้ป่วยเหล่านี้จะต้องมีกระบวนการดูแลตนเองที่บ้านอย่างเหมาะสมทั้งทางร่างกายและจิต.
ในฐานะแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย จำเป็นต้องทำการสำรวจดูสภาพของเครือข่ายญาติผู้ป่วยว่าใครมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ป่วย ใครที่ดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยและเครือข่ายญาติมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อต่อการดูแลอาการเจ็บป่วยอย่างไร และจะหาทางให้การศึกษาให้ ผู้ป่วยและญาติสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้องเหมาะสมอย่างไร.
จะเห็นว่า กรณีดังกล่าว ญาติยังขาดความรู้ใน การจัดเตรียมอาหารสำหรับโรคเบาหวาน ญาติยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพร. (ความเชื่อบางอย่างก็อาจก่อโทษ เช่นการใช้ยาลูกกลอนใส่สตีรอยด์รักษาอาการปวดเข่าจนกลายเป็น Cushing's syndrome ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในชนบท).
ในกระบวนการดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพนั้น การเข้าถึง เข้าใจ และพัฒนาเครือข่ายญาติ จึงเป็นสิ่งที่มิอาจจะขาดได้.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้