ในยุคแห่งการฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาล แพทย์ควรหันมาเรียนรู้กฎหมายการแพทย์ซึ่งเป็นอีกศาสตร์หนึ่งแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ การเข้าใจข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำเวชปฏิบัติไม่ใช่เพื่อการปกป้องหรือแก้ต่างให้กับตนเองเมื่อเกิดกรณีพิพาท หากแต่เป็นการทำความเข้าใจกับกฎหมายในทางที่ถูกต้องและสามารถนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติได้มากขึ้น. โดยพบว่ากรณีส่วนใหญ่ของการฟ้องร้องทางการแพทย์เกิดจากการขาดการสื่อสารที่ดีกับผู้ป่วยและญาติตั้งแต่แรก แพทย์จึงควรเรียนรู้ทั้งข้อกฎหมายและเทคนิคในการสื่อสารเพื่อป้องกันและบรรเทาความขัดแย้งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นขณะทำเวชปฏิบัติ.
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยชายอายุ 50 ปี ถูกเครื่องเจียรหินตัดนิ้วกลางมือขวาเกือบขาด.เมื่อ 30 นาทีก่อนมารักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง แพทย์เวรทำการตรวจแล้วพบว่านิ้วกลางมือขวาเกือบขาด ขอบแผลรุ่งริงและมีกระดูกหักร่วมด้วย จึงทำแผลเบื้องต้นและให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลเพื่อรอปรึกษาศัลยแพทย์กระดูก ซึ่งมาตรวจผู้ป่วยในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา(หลังจาก เสร็จคลินิกส่วนตัว) ศัลยแพทย์กระดูกแนะนำให้ ตัดนิ้วเนื่องจากเห็นว่าเส้นประสาทและหลอดเลือดฟกช้ำมาก แต่ผู้ป่วยยืนยันต้องการให้ต่อนิ้ว แพทย์ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าไม่มีเครื่องมือและห้องผ่าตัดมีห้องเดียว จึงต้องสำรองไว้ให้ผู้ป่วยที่หนักกว่า หากต้องการต่อนิ้วให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น. ผู้ป่วยจึงตัดสินใจไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้เคียง ศัลยแพทย์โรงพยาบาลเอกชนไม่ได้ต่อนิ้วให้ แต่ตัดนิ้วทำความสะอาดและเย็บแผลให้ พร้อมบอกกับ ผู้ป่วยว่าไม่สามารถต่อนิ้วให้ได้เนื่องจากผู้ป่วยมารับการรักษาช้าเกินไปผู้ป่วยจึงตัดสินใจฟ้องร้องแพทย์โรงพยาบาลแรกที่ทำให้ล่าช้าจนต้องสูญเสียนิ้วมือไป.
ประเด็นที่มาของปัญหา
¾ การให้ผู้ป่วยรออยู่ถึง 2 ชั่วโมงก่อนจะมีศัลยแพทย์มาตรวจเพียงเพื่อบอกว่าต้องตัดนิ้วนั้น ทำ ให้ผู้ป่วยเกิดความไม่พอใจ หากแพทย์เวรประเมินแต่แรกแล้วคิดว่าควรต้องตัดนิ้ว แต่ผู้ป่วยยังต้องการ ต่อนิ้วจริงๆ ก็ควรถามความเห็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลทันที หรืออำนวยความสะดวกในการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นที่สามารถต่อนิ้วได้.
¾ ศัลยแพทย์ควรพร้อมที่จะให้คำแนะนำ และหากติดธุระไม่สามารถมาดูได้ทันที อาจให้คำแนะนำอย่างละเอียดแก่แพทย์เวรทางโทรศัพท์ ไม่ควรให้ผู้ป่วยรออยู่ 2 ชั่วโมงด้วยความหวังว่าจะได้รับการต่อนิ้ว.
¾ เมื่อรอถึง 2 ชั่วโมงแล้วได้รับคำแนะนำให้ตัดนิ้ว ผู้ป่วยย่อมไม่มั่นใจว่าคำแนะนำนั้นเกิดจากแพทย์เป็นเหตุแห่งความล่าช้าทำให้นิ้วอยู่ในสภาพที่ต่อไม่ได้หรือเปล่า. กอปรกับเมื่อได้รับข้อมูลจากแพทย์โรงพยาบาลเอกชนว่าต่อนิ้วให้ไม่ได้เพราะมาช้าเกินไปผู้ป่วยจึงพุ่งเป้าสาเหตุมาที่แพทย์โรงพยาบาลแรกล่าช้า.
แพทย์โรงพยาบาลแรกจะต้องรับผิดทางกฎหมายอย่างไร
1. หากผู้ป่วยฟ้อง "คดีอาญา" ว่าแพทย์ประมาทเลินเล่อทำให้เขาต้องสูญเสียนิ้ว ซึ่งอาจถือว่าเป็นอันตรายสาหัส โจทก์ (ซึ่งอาจจะเป็นผู้ป่วยเองหรือพนักงานอัยการ ในกรณีที่มีการแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง) ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ความล่าช้าในการปล่อยให้คอยถึง 2 ชั่วโมงเป็นเหตุให้ต่อนิ้วไม่ได้ หากแพทย์ มาตั้งแต่แรกและต่อนิ้วให้ทัน ผู้ป่วยก็ไม่ต้องถูกตัดนิ้ว.
การพิสูจน์ดังกล่าว โจทก์คงหาพยานไม่ได้ เพราะผู้ที่ตรวจผู้ป่วยครั้งแรกเป็นแพทย์เวรของโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยฟ้อง ดังนั้นคงหาแพทย์ที่จะไปเป็นพยานโจทก์ไม่ได้ เมื่อไม่มีพยานพอก็คงเอาผิดแพทย์ที่เป็นจำเลยไม่ได้ ศาลก็ต้องยกฟ้องสถานเดียว.
2. หากผู้ป่วยฟ้อง "คดีแพ่ง " เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งบัญญัติสาระสำคัญว่าห้ามฟ้องแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ แต่ให้ฟ้องหน่วยงานต้นสังกัดที่โรงพยาบาลรัฐนั้นสังกัดอยู่แทน ทั้งโจทก์ (ผู้เสียหาย) และจำเลย (แพทย์) ต้องหาพยานมาพิสูจน์ข้ออ้างของตน กล่าวคือโจทก์ต้องมีพยานที่จะระบุว่า ถ้าโจทก์มาหาแพทย์ที่มีความสามารถก่อน 2 ชั่วโมง แพทย์นั้นจะสามารถต่อนิ้วของโจทก์ให้ติดได้ จำเลยก็อาจต้องมีพยานแสดงให้ศาลเห็นว่า สภาพบาดแผลของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลรัฐครั้งแรกไม่อยู่ในสภาพที่ต่อนิ้วให้ติดได้แล้ว.
หากศาลเชื่อพยานโจทก์ (ผู้เสียหาย) ผู้เสียหายก็จะชนะคดีได้รับค่าสินไหมทดแทนตามฟ้อง(จะได้เต็มหรือไม่เต็มแล้วแต่ดุลยพินิจของศาล) หากศาลเชื่อพยานจำเลย โจทก์ก็แพ้คดีและไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน.
โรงพยาบาลรัฐที่ถูกฟ้องแพ้คดีจะไล่เบี้ยกับแพทย์ได้เพียงใด
แพทย์เวรน่าจะไม่ต้องรับผิด เพราะมิใช่ต้นเหตุแห่งความล่าช้า ส่วนศัลยแพทย์ที่รับคำปรึกษา หาก "จงใจ" ที่จะไปช้าหรือไปช้าเป็นประจำ (ในกรณี ผู้ป่วยคนอื่นๆ) ก็อาจต้องถูกไล่เบี้ยให้รับผิดได้ แต่ถ้าสาเหตุการไปช้ามีเหตุผลที่รับฟังได้ ก็ถือว่ามิได้ "ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" จึงไม่ต้องรับผิด และหน่วยงานไล่เบี้ยไม่ได้.
กฎหมายประเภทใดที่อาจนำมาปรับใช้ในกรณีนี้
¾ หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กรณีนี้ผู้ป่วยเป็นลูกจ้างได้รับบาดเจ็บขณะกำลังทำงานให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้าง ผู้ป่วยรายนี้จะมี สิทธิจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับ "เงินทดแทน"
¾ "เงินทดแทน" ในผู้ป่วยรายนี้จะประกอบด้วย เงินที่จ่ายเป็น ค่าทดแทน ค่ารักษาพยาบาล และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน โดย "ค่าทดแทน" หมายถึง เงินที่จ่ายให้ลูกจ้างเมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้าง ในอัตราร้อยละ 60 ของ ค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตามประเภทของการสูญเสียอวัยวะและตามระยะเวลาที่ต้องจ่ายให้ตามประกาศกระทรวงแรงงาน (ฉบับปัจจุบัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) เรื่อง กำหนดระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนและหลักเกณฑ์ และวิธีการคำนวณค่าจ้างรายเดือน.
หากห้องฉุกเฉินคัดกรองพบว่าผู้ป่วยมีสิทธิประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาลอื่นจึงแนะนำให้ไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิก่อนจะเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
ไม่เหมาะสม เพราะบุคลากรของห้องฉุกเฉินไม่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายในประเทศไทย จึงไม่สามารถคัดกรองเรื่องสิทธิการรักษาได้ถูกต้องแม่นยำ เช่น ในกรณีผู้ป่วยรายนี้
¾ หากได้รับอันตราย " ในงาน " จะเป็นการช้สิทธิตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537.
¾ หากได้รับอันตราย " นอกงาน" จะเป็นการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533.
¾ หากมีกรณีพิพาทถกเถียงกันภายหลังว่าไม่ใช่เรื่องของการจ้างแรงงาน ผู้ป่วยอาจขอใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 หรือผู้ป่วยอาจใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการของบุตร หรือสิทธิจากการทำประกันอุบัติเหตุไว้กับบริษัทประกันตามกรมธรรม์ฯ ต่างๆ ก็ได้.
เรื่องอุบัติเหตุและฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สิทธิผู้ป่วยและจริยธรรมทางการแพทย์เน้นย้ำเสมอว่า อย่านำเอาความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา สังคม เศรษฐกิจ เพศ วัย ลัทธิการเมือง หรือสิทธิ สวัสดิการใดๆ มาเป็นปัจจัยในการจำกัดการรักษาพยาบาล (No Discrimination in medical treatment) ความพยายามที่จะ " refer" ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาดทางกฎหมายและจริยธรรมวิชาชีพ เพียงเพราะเป็นคนละสิทธิ สวัสดิการ ผลลัพธ์ที่ได้จะกระทบต่อภาพลักษณ์โดยรวมของสถานพยาบาลและสังคมวิชาชีพดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ. บุคลากรห้องฉุกเฉินจึงต้องให้การช่วยเหลือดูแลเต็มที่ตามสภาพความเจ็บป่วยก่อนที่จะคำนึงเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล.
เมื่อถูกฟ้องร้อง แพทย์เวร ศัลยแพทย์กระดูก และผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งแรกควรปฏิบัติตัวอย่างไร
¾ รีบเดินทางไปพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติโดยเร็วเพื่อรับทราบความทุกข์จริงๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เขาอาจจะโกรธที่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เช่น ปล่อยให้เขาปวดอยู่นานโดยไม่ให้ยาแก้ปวดไม่ทำแผลให้สะอาด ทีมผู้รักษามีท่าทีไม่กระตือรือร้นดูแล ทีมผู้รักษาทำเหมือนการสูญเสียอวัยวะเป็นเพียงแค่นิ้ว เป็นเรื่องความเจ็บป่วยธรรมดา ไม่ทุกข์ร้อน ในขณะที่ผู้ป่วยและญาติหวาดกลัวไปถึงอนาคต.
¾ เมื่อค้นพบว่าทุกข์ของผู้ป่วยอยู่ที่ใดกันแน่ ก็แก้ไขไปตามสาเหตุนั้น เช่น อาจต้องขอโทษ ชดเชยค่ารักษาหรือค่าเดินทางไปรักษาต่อ หรือตักเตือน ผู้เกี่ยวข้อง.
¾ ขอบคุณที่ผู้ป่วยและญาติช่วยกันมองหาจุดบกพร่องที่ทำให้โรงพยาบาลเห็นโอกาสในการพัฒนาให้ดีขึ้น (Opportunity for improvement).
¾ ถามว่าอยากให้แพทย์และโรงพยาบาลช่วยเหลืออย่างไรบ้าง.
แพทย์หรือโรงพยาบาลจะมีแนวทางการป้องกันการถูกฟ้องร้องในกรณีนี้อย่างไร
¾ ประเมินสภาพบาดแผลแต่แรกว่ายังสามารถต่ออวัยวะให้ติดได้หรือไม่.
¾ รักษาอาการปวด ความสะอาดบาดแผล รักษาสภาพอวัยวะที่สูญเสีย ปลอบโยนผู้ป่วย.
¾ หากการส่งต่อไม่ยากลำบาก ควรกระตือรือร้นประสานงานเพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปรักษายังสถานพยาบาล ที่มี hand surgeon หรือ orthopedist ที่สามารถต่อ นิ้วได้. ทั้งนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะรักษาอวัยวะนั้นไว้มากกว่าที่จะตัดทิ้งไป หากบาดแผลนั้นยังสามารถต่อให้ติดได้.
¾ สื่อสารให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจว่า " การต่อนิ้ว" เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ยาก ต้องอาศัยทั้งศัลยแพทย์ที่ถูกฝึกการต่อนิ้วมาโดยเฉพาะทีมผ่าตัดที่ชำนาญ กล้องที่มีความละเอียดสูงเพื่อใช้ในการ ผ่าตัดต่อหลอดเลือดและเส้นประสาทซึ่งมีขนาดเล็กมาก และใช้เวลาในการผ่าตัดนาน จึงมีการผ่าตัดชนิดนี้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น. และเนื่องจากไม่ใช่เพียงการผ่าตัดทั่วไปจึงไม่สามารถทำให้ปลอดภัยได้ในโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วๆไป แพทย์ส่วนใหญ่สามารถเย็บนิ้วให้ปะติดกันชั่วคราวได้ แต่นิ้วนั้นอาจใช้งานไม่ได้อีกรวมทั้งมีโอกาสที่นิ้วนั้นจะเน่าและไม่ติดได้.
¾ ให้ทางเลือกและคำปรึกษาว่า ผู้ป่วยและญาติอยากจะให้ส่งต่อไปรักษาหรือจะให้ตัดนิ้ว และในแต่ละทางเลือกมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร.
¾ ไม่ควร admit ให้นอนรอไปก่อน หากแพทย์ที่โรงพยาบาลนี้ไม่สามารถต่อนิ้วได้ก็ควรบอกข้อจำกัดดังกล่าวตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องกลัวเสียหน้าหรือกลัวเสียผลประโยชน์ด้านการเงินของโรงพยาบาลแต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยเป็นหลัก เพราะช่วงเวลาที่ต้องนอนรออาจทำให้ผู้ป่วยและญาติคิดว่าแพทย์ทอดทิ้ง ไม่ให้การรักษา ไม่ใส่ใจในการสูญเสียอวัยวะของเขา จึงโกรธในท่าทีที่แพทย์นั้นไม่ใส่ใจ หรือถ้าจะให้นอนรอ ก็ควรจะมีการเข้าไปดูแลเรื่องความเจ็บปวดโดยให้ยาบรรเทาอาการปวดให้เพียงพอ พูดคุยปลอบโยนเพื่อลดความกลัวและความกังวลเป็นระยะๆ.
¾ แนะนำให้ผู้ป่วยทราบเบื้องต้นถึงสิทธิของตนเองตามลักษณะที่มาของการบาดเจ็บ และแหล่งข้อมูลสำหรับการช่วยเหลือเรื่องสิทธิต่างๆ.
¾ เมื่อแพทย์ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีทางออกที่บำบัดความทุกข์ร้อนดังกล่าวได้ ผู้ป่วยและญาติย่อมเห็นแพทย์เป็นมิตรในยามยาก และไม่ด่วนสรุปฟ้องร้องแพทย์ในกรณีเช่นนี้.
บทสรุป
การฟ้องร้องฐาน " การส่งต่อล่าช้า" ในกรณีนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เริ่มตั้งแต่แพทย์เวรขาดทักษะในการประเมินบาดแผลว่าจะสามารถต่อนิ้วที่โรงพยาบาลนั้นได้หรือไม่ ศัลยแพทย์โรคกระดูกไม่ เร่งรีบมาดูแผลหรือหากคิดว่าไม่มีเวลาต่อนิ้วก็ควรส่งต่อตั้งแต่แรก โรงพยาบาลขาดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งต่อเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย ทั้งนี้อาจต้องการประหยัดเงินในการส่งไปรักษาต่อ แพทย์ที่โรงพยาบาลสุดท้ายพูดจาทับถมเพื่อนแพทย์ด้วยกัน เพื่อให้ตนเองพ้นผิดที่ไม่สามารถต่อนิ้วได้ ผู้ป่วยและญาติที่กลัวและกังวลสุดขีดหลังนิ้วขาด ทำให้มองภาพการบริการบิดเบี้ยวไปกว่าปกติ และอาจมีอคติต่อโรงพยาบาลนั้นๆ อยู่ก่อนหน้าแล้ว ทีมโรงพยาบาลไม่แสดงอาการกระตือรือร้นต่อการรักษายิ่งทำให้ตอกย้ำความกลัว และโกรธให้มากขึ้น เป็นต้น. ทั้งนี้จะถูกหรือผิดที่ขั้นตอนใด ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีนี้ก็ควรเข้าไปสอบถามในรายละเอียด หากทราบว่าผู้ป่วยและญาติโกรธอะไร ก็จะทราบว่าแก้อย่างไร เงินและนักกฎหมายจะไม่ตอบโจทย์นี้ แพทย์ต่างหากที่ต้องลงไปไถ่ถามและบำบัดความขัดแย้งด้วยตนเอง.
บทความชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมเสวนา Medical Law Series ในหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีโดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ เกียรติคุณ นายแพทย์วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์แสวงบุญเฉลิมวิภาส และผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เอนก ยมจินดา จากศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นที่ปรึกษาและวิทยากรร่วม เสวนา
สายพิณ หัตถีรัตน์ พ.บ.,ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป), อ.ว.(เวชศาสตร์ครอบครัว)อาจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 6,515 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้