Q : ไข้หวัดหมูคืออะไร
A : ชื่อเรียกในปัจจุบันใช้คำว่า Influenza A (H1N1) หรืออาจเรียก Swine-Origin Influenza A (S-OIV) ถ้าแยกรายละเอียดของไข้หวัดใหญ่ จะแบ่งเป็น 3 สายพันธุ์ใหญ่ๆ คือ type A, B และ C โดย type C จะพบน้อยที่สุด ในวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยทั่วไปจะมีสายพันธุ์ A และ B.
ในสายพันธุ์ A ยังแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น subtype โดยแยกตามชนิดของ viral surface proteins ซึ่ง พบว่าสายพันธุ์ H1N1 และ H3N2 จะพบได้บ่อยกว่าชนิดอื่นและติดต่อในคนสู่คนได้.
Q : ทำไมถึงเรียกว่า ไข้หวัดหมู (Swine flu)
A : เนื่องจากพบว่า มี gene บางตัวในไวรัสชนิดใหม่นี้ เหมือนกับ gene ที่พบใน influenza ที่เกิดขึ้นในหมู อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีหมูติดเชื้อด้วยไวรัสชนิดนี้.
Q : ถ้าติดเชื้อในคนจะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ติดต่อได้อย่างไร
A : อาการโดยทั่วไปเป็นเหมือน flu-like โดยมีระยะฟักตัว (Incubation period) ประมาณ 2 วันได้แก่ ไข้ ไอ ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการเจ็บคอหรือมีน้ำมูก บางครั้งอาจมีคลื่นไส้อาเจียนหรือท้องเสียได้ อาการอาจรุนแรงมากขึ้นได้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง (high risk) ซึ่งได้แก่
- คนชรา.
- เด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี.
- หญิงมีครรภ์.
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง.
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง.
การติดต่อ โดยการสัมผัสโดยตรงกับสารน้ำ หรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้ออยู่ เช่น ละอองจากการไอ จาม หรือสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ เช่น การกอด หรือ จับมือ.
การติดต่อที่ถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ พบว่าในปัจจุบันยังไม่พบการติดต่อระหว่างหมูมาสู่คน รวมทั้งยังไม่พบการติดต่อ จากการรับประทานเนื้อหมู หรือการดื่มน้ำที่สะอาดแต่อย่างใด.
Q : ระยะติดต่อในคนนานขนาดไหน
A : ประมาณ 1 วันก่อนผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีอาการจนถึงประมาณ 7 วัน หลังจากเริ่มมีอาการป่วยรวมๆ คือประมาณ 8 วัน ซึ่งเหมือนกับที่พบใน seasonal influenza ทั่วไป อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มว่า เด็กที่ติดเชื้อ จะมีระยะติดต่อที่นานขึ้นกว่าที่พบในผู้ใหญ่.
พบว่า influenza virus สามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2-8 ชั่วโมงบนพื้นผิว หรือบนวัสดุต่างๆ อย่างไรก็ดี สามารถทำลายเชื้อเหล่านี้ได้ไม่ยาก ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
- ใช้ความร้อนสูง 75-100 องศาเซลเซียส.
- ยาฆ่าเชื้อโรคทั่วไป (antiseptics) เช่น สบู่, คลอรีน, Hydrogen peroxide, alcohol, iodine.
Q : การวินิจฉัยโรคทำได้อย่างไร
A : อาศัยอาการและอาการแสดงดังกล่าว รวมกับการตรวจพิสูจน์ทราบว่าติดเชื้อตัวนี้ โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. Confirmed case หมายถึงผู้ที่มีอาการของ acute febrile respiratory illness และมีการตรวจพบทางห้องปฏิบัติการของ S-OIV โดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
- Realtime RT-PCR ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง.
- Viral culture.
2. Probable case หมายถึงผู้ที่มีอาการของ acute febrile respiratory illness และมีการตรวจพบทางห้องปฏิบัติการของ influenza A แต่ negative สำหรับ H1 และ H3 โดยวิธี influenza RT-PCR.
3. Suspected case หมายถึงผู้ที่มีอาการของ acute febrile respiratory illness และมีonset ของอาการ
- ภายใน 7 วันที่มี close contact กับผู้ติดเชื้อ S-OIV (confirmed cases) โดย close contact หมายถึงการอยู่ในระยะห่างไม่เกิน 6 ฟุตกับผู้ติดเชื้อ S-OIV (confirmed cases) ซึ่งอยู่ในระยะที่ติดต่อหรือแพร่เชื้อได้.
- ภายใน 7 วันที่มีการเดินทางไปยังสถานที่หรือประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ S-OIV (confirmed cases).
- อาศัยอยู่ใน community ที่มีผู้ติดเชื้อ S-OIV (confirmed cases).
Q : การรักษาทำได้อย่างไรบ้าง
A : สำหรับยาต้านไวรัสโดยตรง ปัจจุบันมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่ม Anamantanes ได้แก่ยา amantadine และ remantadine และกลุ่มที่เป็น inhibitor ของ influenza neuraminidase เช่น oseltamivir และ zanamivir สำหรับเชื้อตัวนี้จะไวต่อยาในกลุ่ม neuraminidase โดยยาจะช่วยทำให้อาการไม่มาก และหายจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยแนะนำให้เริ่มใช้ยาเร็วที่สุดหลังจากเริ่มมีอาการของโรค และไม่ควรเกิน 48 ชั่วโมงหลังจากมีอาการจึงจะได้ผลดีที่สุด ให้ใช้ยานานประมาณ 5 วัน
ขนาดยาที่แนะนำในผู้ใหญ่ คือ
Oseltamivir (75 มก.) 1 capsule oral bid นาน 5 วัน.
Zamamivir (5 มก. inhalation) 10 มก. inhalation bid นาน 5 วัน.
Q : การป้องกันทำได้อย่างไรบ้าง
A : ในปัจจุบันยังไม่มี vaccine สำหรับป้องกันไวรัสชนิดใหม่ตัวนี้ อย่างไรก็ตามมีคำแนะนำเพื่อ ช่วยป้องกันการติดเชื้อมาสู่ตัวเรา และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น (ในกรณีป่วย) ดังนี้
- ปิดปากและจมูกทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม.
- ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากใช้มือปิดปากและจมูก หลังจากการไอหรือจาม อาจใช้กลุ่ม alcohol-based hand cleaner ก็ได้.
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณตา จมูกและปากบ่อยๆ.
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ (close contact) กับผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ.
- ถ้าป่วยหรือติดเชื้อ ให้อยู่บ้าน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น นานอย่างน้อย 7 วันหลังจากเริ่มมีอาการ หรือหายจากอาการป่วย (Symptom free) อย่างน้อย 24 ชั่วโมง.
- คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ facemask หรือ respirators มีดังนี้
i. หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่ที่มีผู้คนหนาแน่นหรือชุมนุมชนหรืออยู่ในที่ที่เป็น close contact กับผู้ติดเชื้อ S-OIV ถ้าจำเป็นขอให้ใช้เวลา ให้สั้นที่สุด.
ii. Facemask แนะนำให้ใช้ในกรณีที่ ต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีผู้คนหนาแน่นหรือชุมนุมชน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากละอองการไอ จามของ ผู้อื่น และยังป้องกันไม่ให้ละอองการไอ จามของเราไปปนเปื้อนผู้อื่นด้วยเช่นกัน.
iii. Respirator หมายถึง mask N 95 (ภาพที่ 1) หรือกลุ่มของ higher filtering facepiece respirator แนะนำให้ใช้ในกรณีที่ต้องสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ S-OIV เช่น บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่เป็นญาติพี่น้องร่วมบ้านเดียวกับผู้ติดเชื้อ.
ในกรณีของ viral chemoprophylaxis มีคำแนะนำผู้สมควรได้รับดังนี้
1. ผู้ที่สัมผัสโรค (confirmed/probable case)แบบ close contact ในช่วงที่เป็นระยะติดต่อและเป็น high risk group.
2. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสโรค (confirmed/probable case) แบบ close contact ในช่วงที่เป็นระยะติดต่อและไม่ได้ใช้อุปกรณ์ในการป้องกันอย่างเหมาะสม.
ในกรณีที่เป็น pre-exposure แนะนำให้ใช้ยาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มสัมผัสกับโรค และนาน 10 วันหลังจากพ้นระยะที่สัมผัสโรค.
สำหรับ post-exposure ให้ใช้ยาทันทีและนาน 10 วันหลังจากพ้นระยะที่สัมผัสโรค
ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้
Oseltamivir (75 มก.) 1 capsule oral วันละครั้ง.
Zamamivir (5 มก. inhalation) 10 มก. inhalation วันละครั้ง.
บรรณาธิการและผู้นิพนธ์
วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ. ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 3,686 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้