หากนับถึงต้นเดือนมีนาคม เหตุการณ์ไฟไหม้สถานบันเทิงย่านถนนสุขุมวิทในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ก็จะครบเวลา 2 เดือนหลังเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตจำนวน 66 รายยังฝากร่องรอยแห่งความสูญเสียในจิตใจของญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง มีผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมากในวันเกิดเหตุที่ยังต้องรักษาตัวระยะยาวและเผชิญกับความพิการ ขณะที่อีกหลายคนยังมีบาดแผลทางใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา.
สิ่งหนึ่ง "ที่หลอกหลอน" จิตใจผู้เขียนมาตลอด 2 เดือน คือ คำถามที่ว่า "ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง เราจะมีวิธีการอะไรบ้าง ที่จะลดความเจ็บป่วยพิการของประชาชนที่เกิดขึ้นจากเหตุแบบนี้?" อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์ฉบับนี้ จึงจะขอเล่าให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพว่า แพทย์อาชีวเวชศาสตร์มีบทบาทอย่างไรในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้.
สอบสวนโรค
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค มีภารกิจหลักด้านหนึ่ง คือ การสอบสวนโรค ด้วยกระบวนการทางระบาดวิทยาเพื่อให้ได้ข้อสรุปในเชิงสาธารณสุข นำไปสู่การควบคุมและป้องกันโรคในประชากร.
โดยทั่วไป "นักระบาด" จะเริ่มจากการรวบรวมข้อมูล"time place person" อันประกอบด้วยการระบุจำนวนประชากรที่ป่วย การค้นหาสถานที่และเวลาที่เริ่มเกิดการเจ็บป่วย วิธีการรวบรวมอาศัยการสรุปความจากรายงานผู้ป่วย ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม และการจัดทำแบบสอบถาม เพื่อใช้ในการถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น พฤติกรรมที่นำไปสู่ความเจ็บป่วย เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติ ให้ได้ข้อสรุป "เบื้องต้น" ว่าสาเหตุการเจ็บป่วยคืออะไร อันจะทำให้ได้แนวทางในการควบคุมโรคในเวลาอันรวดเร็ว และการป้องกันการเจ็บป่วยในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อไป.
อย่างไรก็ตาม "กระบวนการ" ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ใช้กับการสอบสวนโรคติดเชื้อและโรคติดต่อต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในประชากรจำนวน มาก ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "outbreak" ซึ่งนักระบาดจะต้องปรับเปลี่ยนบางประเด็นให้สามารถนำไปใช้ในการสอบสวนเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้น.
ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม หรือประมาณ 1 สัปดาห์หลังเหตุการณ์ ทีมแพทย์ระบาดวิทยาและนักวิชาการสาธารณสุขจากสำนักระบาด วิทยาได้ประชุมหารือเพื่อการสอบสวนเหตุการณ์นี้ ได้ข้อสรุปว่าทีมจะเก็บข้อมูลจากการชันสูตรศพและแฟ้มการรักษา (chart) ของผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทุกคนทุกแห่ง โดยข้อมูลที่สนใจ คือ พยาธิสภาพที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสรุปว่าสาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากอะไร ทั้งนี้ สมมติฐานเบื้องต้น คือ การบาดเจ็บจากความร้อนและไอควันการเผาไหม้ รวมทั้งสารเคมีอันตรายต่างๆ.
สมาชิกคนหนึ่งของทีม (พญ.พิมพ์ภา เตชะกมลสุข) ได้โทรศัพท์เชิญชวนผู้เขียนให้ไปร่วมทำการสอบสวน แต่เนื่องจากติดภารกิจอื่นไม่สามารถปลีกเวลาได้ ผู้เขียนจึงได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อที่ทีมงานจะได้ข้อมูลครบถ้วนมากขึ้น สรุปได้ดังนี้
1. เป้าหมายของการสอบสวนของทีมระบาดวิทยา ควรเน้นการป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น กับนักเที่ยวในอนาคต ซึ่งอาจจะใช้ข้อมูลบางส่วนจากการสอบสวนคดีของตำรวจ การตรวจอาคารของทีมวิศวกรความปลอดภัย และการพิสูจน์หลักฐานของทีมนิติเวชหรือนิติวิทยาศาสตร์ แต่ก็จะมีข้อมูลที่ทีมอื่นๆ ไม่ได้รวบรวม แต่นักระบาดต้องรวบรวม.
2. ข้อมูลที่นักระบาดควรรวบรวม และที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันการบาดเจ็บได้นั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของนักเที่ยวและวิธีการลดความเสี่ยงที่ควรมีอยู่ด้วย ซึ่งผู้เขียนได้ระบุในวงเล็บ เช่น
¾ ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตกำลังทำอะไร อยู่ตรงบริเวณไหนของอาคารตอนที่เริ่มเกิดเหตุ (บริเวณที่ปลอดภัย/ไม่ปลอดภัยในอาคาร)
¾ ทราบได้อย่างไรว่าเกิดเหตุ (ระบบแจ้งเตือนภัยต่างๆ มีหรือไม่ ทำงานหรือไม่).
¾ คิดจะช่วยตัวเองอย่างไรในช่วงเวลาวิกฤต เช่นนั้น (การฝึกอบรมด้านความปลอดภัย).
¾ หาทางออกได้อย่างไร (บริเวณเข้าออกอาคาร หาได้ง่าย ออกสะดวกหรือไม่).
¾ ถ้าออกมาเองไม่ได้ ใครช่วยออกมา (หน่วยกู้ภัยปฏิบัติงานได้ดีหรือไม่).
3. ก่อนจะซักถามผู้บาดเจ็บ ควรต้องไปเดินสำรวจสถานที่เกิดเหตุ เพื่อ
¾ ประเมินความไม่ปลอดภัยของอาคารในภาพรวม เช่น โครงสร้างไม่แข็งแรง ประตูเข้าออกแคบ วกวน บันไดหนีไฟถูกปิด ไม่มีอุปกรณ์เตือนภัย ไม่มีเครื่องดับเพลิง ไม่มีแผนอัคคีภัย ไม่เคยซ้อมแผนอัคคีภัย.
¾ ทำแผนที่อาคารในภาพรวม โดยเฉพาะจุดที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บ เพื่อระบุเป็นจุด "อันตราย".
¾ ประเมินว่าผู้บาดเจ็บน่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไรในเวลาเกิดเหตุ รวมทั้งประเมินความเสี่ยงในแง่ "อาชีวเวชศาสตร์" ด้วยเช่น
¾ ผู้บาดเจ็บมีโอกาสเกิดภาวะ burn ได้จากความร้อนสูงมากขนาดไหน สุราและเบียร์ปริมาณ มากทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นหรือไม่.
¾ เกิดควันพิษจากวัสดุที่ใช้ตกแต่งสถานที่หรือสิ่งของอื่นๆ หรือไม่.
¾ เกิดภาวะอับอากาศ (confined space) ขึ้นในขณะเกิดเหตุหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น.
¾ ผู้บาดเจ็บใช้วิธีไหนในการหลีกเลี่ยงความร้อน ไอควันหรือภาวะอับอากาศ เช่น ใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากและจมูก เข้าไปหลบในห้องน้ำ.
4. ควรแบ่งแยกกลุ่มผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นกลุ่มพนักงานของสถานบันเทิงเองกับนักเที่ยว เนื่องจากทั้งสองกลุ่มน่าจะมีพฤติกรรมด้านความปลอดภัยต่างกัน เช่น พนักงานคุ้นเคยกับการเข้าออกอาคารมากกว่านักเที่ยว พนักงานไม่ได้อยู่ในอาการ มึนเมา ทำให้การป้องกันการบาดเจ็บต้องการเนื้อหาต่างกันและใช้มาตรการต่างกัน.
5. ควรเก็บข้อมูลการสัมผัสความร้อน สารเคมี การบาดเจ็บ และความเครียดที่เกิดขึ้นของพนักงานกู้ภัย ดับเพลิง กู้ชีพ มูลนิธิ ที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ รวมทั้งแพทย์ พยาบาลห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่างๆ ที่รับผู้บาดเจ็บในคืนวันเกิดเหตุด้วย เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการเจ็บป่วยในอนาคตเช่นกัน.
หลังการสนทนาในวันนั้น ผู้เขียนได้ทราบว่าทีมระบาดวิทยาไปเก็บข้อมูลจากผู้บาดเจ็บที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และทำการเดินสำรวจสถานที่เกิดเหตุเป็นเวลา 15 นาที ในช่วงวันที่ 12-16 มกราคมที่ผ่านมา และทีมงานขอจำกัดการเก็บข้อมูลเฉพาะผู้บาดเจ็บที่เป็นนักเที่ยว ไม่รวมผู้ปฏิบัติงานที่กล่าว มาแล้ว. อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ทีมได้ทำการสอบสวน ก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันการบาดเจ็บในอนาคตได้ ซึ่งผู้เขียนจะได้ติดตามนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านต่อไป.
อนิจจา occ med
หลังจากที่ให้คำแนะนำแก่ทีมระบาดวิทยาไป แล้ว ผู้เขียนได้สอบถามแพทย์ รวมทั้งแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ (occupational medicine) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข ว่าใครได้ทำอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ พบว่าส่วนมาก "รู้สึก" ว่านอกจากการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ burn จากไฟไหม้ แล้ว แพทย์ก็ไม่น่าจะมีบทบาทอะไรอีกกับเหตุการณ์ลักษณะนี้.
ขณะเดียวกัน เมื่อได้สอบถามไปยังแพทย์ที่ ทำการรับผู้ป่วย ณ โรงพยาบาลเอกชนในคืนวันดังกล่าว พบว่า แพทย์กลุ่มนี้เห็นว่าผู้ป่วยเป็น "case burn" ตามปกติไม่น่ามีอาการผิดปกติอื่นๆ และถึงแม้ตนเองจะรู้สึกแสบตา แสบจมูก หายใจขัดบ้างจากการสูดดมควันไฟที่ติดมากับผู้ป่วย ก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะต้อง consult แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น พิษวิทยา พยาธิสภาพจากเปลวไฟ เพื่อการรักษาผู้ป่วยหรือดูแลตนเอง.
ผู้เขียนจึงสรุปเบื้องต้นว่า แพทย์ทั่วๆ ไปยังไม่ทราบว่าแพทย์อาชีวเวชศาสตร์มีตัวตนและสามารถให้คำปรึกษากรณีเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้ และที่สำคัญแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เองก็ไม่ทราบว่าตัวเองสามารถให้คำปรึกษาได้เช่นกัน!!
มุมมองจากอเมริกา
ผู้เขียนคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จะเชิญชวนให้แพทย์ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์และบุคลากรสาธารณสุข โดยทั่วไป โดยเฉพาะทีมงานกู้ชีพและฉุกเฉิน (EMS-Emergency Medical Services) ได้เห็นภาพว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยและลดการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ ลักษณะนี้ได้อย่างไร.
วิทยาลัยแพทย์อาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (ACOEM-American College of Occupational and Environmental Medicine) ได้จัดทำเอกสารหัวข้อ "Disaster Preparedness and Emergency Management as a Core Competency in Occupational and Environmental Medicine" ขึ้น1 ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2549 เพื่อชี้ให้แพทย์สาขานี้ได้ตระหนักว่าตนเองสามารถช่วยลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้คนได้ในยามเกิดภาวะฉุกเฉิน.
เนื้อหาโดยสรุปของเอกสารวิชาการนี้ กล่าวถึงว่า แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ซึ่งทำหน้าที่หลักในการดูแลสุขภาพของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ นั้น มีบทบาท ในการช่วยชีวิตพนักงานยามเกิดเหตุบาดเจ็บหมู่ด้วย เช่น เหตุรถไฟตกราง เรือกลไฟเกิดเพลิงไหม้และล่ม ดังปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2392. นอกจากนั้น ในขณะที่เกิดเหตุวิกฤติต่างๆ เช่น สงครามโลกครั้งที่สอง หรือเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหลที่เมืองโบพาล ประเทศอินเดีย แพทย์กลุ่มนี้ก็สามารถ ช่วยทำให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง และปลอดภัย.
อย่างไรก็ตาม บทบาทในด้านการวางแผนและรับมือเหตุวิกฤติ (disaster planning and emergency response) ของแพทย์กลุ่มนี้ลดลงไปในช่วงทศวรรษ 2520-2540 เนื่องจากมีการให้ความสำคัญกับบทบาทในแง่การส่งเสริมและป้องกันโรคในกลุ่มพนักงานมากกว่า แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เผชิญเหตุวิกฤติจำนวนมาก ได้แก่ เหตุการณ์ 9-11 ที่นิวยอร์ก จดหมายแอนแทร็กซ์ การระบาดของโรคซาร์ส์ การระเบิดและรั่วไหลของโรงงานสารเคมีหลายแห่ง โรคฝีดาษที่หวนกลับมาใหม่ รวมทั้งภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น พายุเฮอริเคน Katrina และ Rita ทำให้แพทย์สาขานี้ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์สาขาอื่นๆ ในการเตรียมการและรับมือ เหตุวิกฤติต่างๆ โดยเฉพาะเหตุก่อการร้ายด้วยอาวุธเคมี ชีวภาพหรือกัมมันตภาพรังสี.
เหตุที่แพทย์สาขานี้ "งานเข้า" ดังกล่าว วิทยาลัยฯสรุปว่าเนื่องจาก การปฏิบัติงานประจำวันของแพทย์กลุ่มนี้ คือ การประเมินและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพให้กับพนักงานที่สัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพ ทั้งสารเคมี เชื้อโรคหรือกัมมันตภาพรังสีอยู่แล้ว ทำให้เป็นการง่ายที่จะขยายกรอบการทำงานไปทำการประเมินและลดความเสี่ยงให้กับประชากรกลุ่มใหญ่ขึ้น รวมทั้งประชากรทั้งประเทศหากจำเป็น ดังนั้น วิทยาลัยฯจึงเห็นว่า การฝึกอบรมแพทย์สาขานี้จะต้องเน้นความรู้และทักษะด้าน disaster preparedness และ emergency response และถือเป็นสมรรถนะหลัก ที่จำเป็นของแพทย์สาขานี้เลยทีเดียว.
ที่สำคัญ วิทยาลัยฯ สรุปได้อย่างชัดเจนว่า แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ไม่ได้ทำงานแทนแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency medicine) วิศวกรความปลอดภัย (safety engineer) หรือผู้จัดการความเสี่ยงทั้งหลาย (risk manager) แต่เป็นการ "เติมเต็ม" ให้กับสาขาวิชาชีพเหล่านี้ เนื่องจากเป็นแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับทั้งการรักษาพยาบาล และงานด้านสาธารณสุข สรุปง่ายๆ ว่า แพทย์อาชีวเวชศาสตร์เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญระหว่างทีมวิชาชีพเหล่านี้กับแพทย์สาขาอื่นและบุคลากรสาธารณสุข.
บริบทไทย
จากเอกสารวิชาการของวิทยาลัยฯดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนนึกถึงแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ท่านหนึ่ง ซึ่งปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ในปี พ.ศ.2543 ท่านมีบทบาทสำคัญในการจัดการเหตุโคบอลท์ 60 รั่ว กล่าวคือ ผู้ป่วยรายที่สองที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ได้ไปพบอายุรแพทย์ที่แผนกผู้ป่วยนอก อายุรแพทย์ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย สรุปได้ว่าผู้ป่วยมีอาการ systemic disease บางอย่าง ทำให้อ่อนเพลีย ผมร่วง มีฝ้าในปาก ซึ่งอาจเป็นการติดเชื้อเอดส์หรือเป็นสารเคมีบางอย่าง.
หลังจากส่งผู้ป่วยรายนี้เข้าหอผู้ป่วยแล้ว อายุรแพทย์รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ท่านนี้ การพูดคุยที่โต๊ะกินข้าว ทำให้แพทย์ อาชีวเวชศาสตร์ระบุได้ว่า ผู้ป่วยน่าจะได้รับกัมมันตภาพรังสี จากนั้น จึงร่วมกันไปทำการซักประวัติผู้ป่วยรายนั้นและผู้ป่วยรายแรกที่นอนรักษาตัวอยู่ และได้ทำการแจ้งเหตุฉุกเฉินไปยังนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) ในขณะนั้น เพื่อให้ดำเนินการลดความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน.
การกระทำของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ท่านนี้สอดคล้องกับเอกสารของวิทยาลัยฯเป็นอย่างมาก กล่าวคือ การฝึกอบรมด้านอาชีวเวชศาสตร์ทำให้รู้จักสิ่งคุกคามสุขภาพทุกประเภท ได้แก่ สารเคมี เชื้อโรค กัมมันตภาพรังสี เสียง แสง ท่าทางการทำงาน สิ่งก่อความเครียด โดยเฉพาะพยาธิสภาพที่จะเกิดกับคนที่สัมผัสสิ่งคุกคามฯ เหล่านี้ จึงทำให้สามารถวินิจฉัยอาการผิดปกติได้ นอกจากนั้น การที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ต้องทำงานประสานกับทีมผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ และหน่วยงานหลาย sector ทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ทำให้รู้ว่าจะต้องจัดให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทราบว่า พปส. คือ หน่วยงานที่จะต้องมาทำการเก็บกู้วัตถุกัมมันตภาพรังสีต้นเหตุ เนื่องจากมีเครื่องมือ อุปกรณ์และบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ที่สำคัญ ต้องแจ้งเหตุฉุกเฉินเพื่อระดมผู้บริหารสูงสุดมาตัดสินใจจัดการเพื่อเคลื่อนย้ายประชาชน และทรัพยากรที่จำเป็นในการระงับเหตุและดูแลประชาชนในช่วงเวลา เกิดเหตุ.
ย้อนกลับมาที่เหตุไฟไหม้สถานบันเทิงที่เกิดขึ้นคราวนี้และที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ของประเทศไทย ควรจะได้มีส่วนร่วม ดังต่อไปนี้ คือ
1. ให้ข้อแนะนำแก่สถานประกอบการในการจัดทำและซ้อมแผนอัคคีภัย โดยเฉพาะการให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบาดเจ็บและเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นจากอัคคีภัย และการป้องกันตนเอง.
2. ให้คำแนะนำแก่สถานพยาบาลในการจัดทำและซ้อมแผนรับผู้ป่วยหมู่กรณีอัคคีภัย รวมทั้งการป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์.
3. ในขณะเกิดเหตุ ควรจัดการให้มีระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน และให้ตนเองได้รับการแจ้งเหตุ เพื่อจะได้สามารถให้คำปรึกษาแนะนำแก่ทุกฝ่ายแต่เนิ่นๆ.
4. ช่วยบริหารจัดการในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กรมโรงงาน อุตสาหกรรม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมาร่วมกันระงับเหตุในนาทีวิกฤต.
5. ทำการสอบสวนเหตุหรือให้คำแนะนำแก่ทีมสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงระบาดวิทยา พิษวิทยา และพฤติกรรมความปลอดภัย สำหรับนำไปใช้ในการดูแลผู้บาดเจ็บในระยะเฉียบพลันและระยะยาว รวมทั้งการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันเหตุในอนาคต.
6. ช่วยในการวางแผนและร่วมดำเนินการ เพื่อติดตามดูแลสุขภาพผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กับจุดเกิดเหตุและประชาชนผู้สัมผัสใกล้จุดเกิดเหตุในระยะยาว เพื่อลดการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม.
ส่งท้าย
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้กล่าวสุนทรพจน์ ในวันที่เข้ารับการสาบานตน มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "We have chosen hope over fear" อันหมายความถึงว่า ในสภาวะการณ์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและภัยคุกคามทั้งหลายซึ่งสหรัฐอเมริกาเผชิญอยู่ ประชาชนควรจะมีความหวัง ว่าจะจัดการเพื่อลดหรือรับมือเหตุเหล่านี้ได้ ไม่ใช่มีแต่ความกลัวและไม่จัดการ ปล่อยให้สิ่งคุกคาม สามารถคุกคามตัวเองได้จริงๆ.
ผู้เขียนขอเชิญชวนแพทย์อาชีวเวชศาสตร์และบุคลากรสาธารณสุขทั้งหลาย ให้คิดและทำตามประธานาธิบดีโอบามา ในประเด็นของการเป็น "ชิ้นส่วนสำคัญ" ของภาพรวมการจัดการเพื่อวางแผนและรับมือเหตุวิกฤติต่างๆ ในประเทศไทย
.
เอกสารอ้างอิง
1. American College of Occupational and Environmental Medicine. "Disaster Preparedness and Emergency Management as a Core Competency in Occupational and Environmental Medicine" March 10, 2006. Available at www.acoem.org< สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2551.
ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.
DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ
และสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข
E-mail address : [email protected]<
- อ่าน 3,689 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้