กลิ่นหอมของแป้งดินสอพองผสมกับน้ำอบไทยทำให้ความร้อนอบอ้าวของเดือนเมษายนคลายลงไปบ้าง หวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านจะได้มีเวลาได้พักเพื่อผ่อนคลายกายใจ และพบปะญาติพี่น้องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ที่สำคัญ ถ้าจะดื่มสุราก็โปรดดื่มด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย อย่าทำให้ผู้อื่นต้องบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิตด้วยความประมาทของท่านเอง.
และเนื่องจากเดือนนี้ เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ของไทย ผู้เขียนจึงจะขอนำเสนอเรื่อง "เบาๆ" และ "ใกล้ตัว" เป็นของกำนัลแด่ท่านผู้อ่าน.
แฟน(คลับของ)ฉัน
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนมีภารกิจเดินทางไปต่างจังหวัดหลายแห่งและหลายครั้ง ได้พบกับบุคลากรสาธารณสุขหลายท่าน และได้มีบุคคล 3 ท่านที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจในทางดีว่าบทความชุดนี้ น่าจะยังมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของท่านผู้อ่านอีกหลายท่าน.
ท่านแรก คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งท่านได้กล่าวทักทาย ผู้เขียนว่า"ผมอ่านบทความของคุณหมอมานานแล้ว เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้เอง"จากนั้น ท่านได้สละเวลาช่วงเช้าวันต้นสัปดาห์ที่น่าจะยุ่งวุ่นวาย นั่งฟังการบรรยายของผู้เขียนร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนานกว่าชั่วโมง. ท่านต่อมาคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต วันนั้นผู้เขียนได้นั่งประชุมติดกับท่านที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อนรุ่นพี่อีกท่านได้แนะนำผู้เขียนกับท่าน "อ๋อ คนนี้เขียนบทความตั้งเยอะนี่นา ดีใจที่ได้รู้จัก ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ผมคิดอยู่ว่าถ้าเจอตัวจะชวนไปทำงานที่ภูเก็ตบ้าง" และท่านสุดท้าย ผู้เขียนบังเอิญได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลควนโดน จังหวัดสตูล ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 ภายใต้โครงการการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล หลังจากยกมือสวัสดีท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล ท่านได้กล่าวว่า "ผมอ่านบทความของคุณหมอมานานแล้วเป็นหัวข้อที่มีประโยชน์มากถ้าอ่านแล้วคิดตามไปด้วยหรือเอาไปทำจริงๆ".
จากการที่ได้พบท่านผู้บริหารทั้งสามท่านนี้ผู้เขียนขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ท่านและท่านผู้อ่านอื่นๆ มีให้ และได้ตั้งใจว่าจะเขียนบทความชุดนี้ต่อไปจนกว่าท่านผู้อ่านจะเลิกอ่านเลยทีเดียว.
กลุ่มเสี่ยง
การที่ได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลชุมชนเช่นที่ชุมแพ และควนโดนนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีของผู้เขียนที่จะ เดินสำรวจรอบโรงพยาบาล เพื่อประเมินคร่าวๆว่า สภาพแวดล้อมการทำงานอาจทำให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเจ็บป่วยจากการทำงานได้หรือไม่ และหาก มีสิ่งใดที่เป็น "ความเสี่ยง" อย่างชัดเจน ก็จะแนะนำให้ปรับปรุงทันที ขณะเดียวกันถ้ามีสิ่งใดที่เป็น"นวัตกรรม" ก็จะนำไปเผยแพร่ให้โรงพยาบาลอื่นๆได้ปรับไปใช้บ้าง นอกจากนั้นผู้เขียนมักจะขอบันทึกภาพด้านดีและด้านลบเหล่านี้ไว้ด้วย เพื่อทำการเผยแพร่ จนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหลายแห่งเกิดความอายล่วงหน้าว่าภาพไม่ดีของโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่จะเดินทางไปสอนคนอื่นมากเกินไป ซึ่งผู้เขียนก็มักปลอบใจเสมอว่า "ไม่มีการเอ่ยชื่อโรงพยาบาลจะบอกแต่ขนาดถือว่าเป็นวิทยาทาน ที่สำคัญกว่าการอายคือ ควรนำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงสภาพการทำงานเพื่อสุขภาพดีของตัวเองและเพื่อนร่วมงาน".
สาเหตุที่ผู้เขียนถือเป็นภารกิจที่ "ต้องทำ"ดังกล่าว ก็เพราะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลถือเป็น "ประชากรกลุ่มเสี่ยง" ที่สำคัญกลุ่มหนึ่งของการดูแลสุขภาพผู้ประกอบอาชีพ.
ย้อนหลังกลับไปช่วงปี พ.ศ. 2540-2541 แนวคิด การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลกำลังเริ่มแตกหน่อสู่การปฏิบัติประเด็นหนึ่งที่ "มาตรฐาน HA" ฉบับแรกได้ระบุไว้ คือ ENV 4.4 การจัดบริการอาชีวอนามัยให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้เขียนในฐานะนักอาชีวอนามัยรู้สึกยินดีมากที่มีการกำหนดมาตรฐานประเด็นดังกล่าวไว้ และผู้เขียนได้นำเสนอต่อผู้เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลหลายท่านและหลายครั้ง ถึงแนวการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพเจ้าหน้าที่เพื่อลดความเจ็บป่วยอันอาจเกิดจากความเสี่ยงเหล่านั้น.
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นช่วงเวลา HA ได้รับความสนใจอย่างมาก ผู้เขียนได้ส่งแบบ สอบถามสำรวจโรงพยาบาลจำนวน 204 แห่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพจากสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) ได้รับการตอบกลับจาก 159 แห่ง พบว่า
¾ประเด็นแรกที่ข้อกำหนด ENV 4.4 ได้ระบุไว้ คือ การมีนโยบายในการตรวจสุขภาพก่อนบรรจุทำงาน การคัดกรองสุขภาพและเฝ้าระวังโรค การให้ภูมิคุ้มกันโรค รวมทั้งนโยบายในการป้องกันอันตรายจากสารเคมี จุลชีพ กลไกและท่าทางในการทำงานพบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่เคยมีการประกาศนโยบายด้าน อาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ซึ่งจะครอบคลุมนโยบายทั้ง 2 ด้านดังกล่าว.
¾ เมื่อพิจารณาข้อคำถามเกี่ยวกับมาตรการการตรวจสอบอันตรายต่อสุขภาพ พบว่า โรงพยาบาล เกือบทุกแห่งมีมาตรการเกี่ยวกับสิ่งคุกคามสุขภาพทางกายภาพ เช่น แสงสว่าง เสียง รังสี มากที่สุด โดยที่สิ่งก่อความเครียดทางจิตใจได้รับการตรวจสอบและป้องกันน้อยที่สุด.
¾ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะจัดการตรวจสุขภาพประจำปีตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังที่ตรวจตามเกณฑ์อายุ ไม่ใช่การตรวจตามความเสี่ยงของงานที่ทำ แต่พบว่าโรงพยาบาล 44 แห่งให้กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม ซึ่งมีความรู้ด้านอาชีวอนามัย เป็นผู้กำหนดรายการตรวจสุขภาพประจำปีของเจ้าหน้าที่ตามความเสี่ยงของงาน.
¾ ในด้านของการให้ภูมิคุ้มกันโรคและการมี หลักประกันว่าเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสกับผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันหรือไม่เป็นพาหะของโรคติดเชื้อ พบว่า 3 ใน 4 ของโรงพยาบาลมีการให้ภูมิคุ้มกันตับอักเสบบีแก่เจ้าหน้าที่ ขณะที่เพียง 1 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างที่ให้ภูมิคุ้มกันหัดเยอรมันหรือวัณโรค นั่นคือ เจ้าหน้าที่ส่วนมากยังไม่ได้รับการป้องกันโรควัณโรคหรือหัดเยอรมัน ซึ่งยังพบได้บ่อยในประเทศไทย นอกจากนั้นยังพบว่า เพียง 2 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้นที่โรงพยาบาลออกค่าใช้จ่ายด้านภูมิคุ้มกันโรคให้เจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของรัฐส่วนมากได้รับภูมิคุ้มกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขณะที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนได้รับการช่วยเหลือจากโรงพยาบาลบางส่วนและบางส่วนต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง.
¾ สำหรับประเด็นการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาแนวโน้มของปัญหาและกำหนดแนวทางป้องกันนั้น พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนมากมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลการเจ็บป่วยของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อถามถึงการรายงานหรือการสอบสวนความเจ็บป่วยของเจ้าหน้าที่ พบว่า บางแห่งไม่มีทั้งการรายงานและการสอบสวน ขณะที่ครึ่งหนึ่งมีการรายงานและส่วนมากมีการสอบสวนกรณีเข็มหรือของมีคม ทิ่ม หรือตำ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาแนวโน้มและป้องกัน พบว่าร้อยละ 70 มีการดำเนินการด้านนี้ อย่างไรก็ตาม ส่วนมากไม่มีกำหนดระยะห่างของการวิเคราะห์อย่างชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 40 ทำการวิเคราะห์ทุกปี.
¾ คำถามหนึ่งที่น่าสนใจ คือ "มีห้องพยาบาลหรือหน่วยปฐมพยาบาลสำหรับเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะหรือไม่" พบว่าร้อยละ 69 ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่มีห้องพยาบาลให้เจ้าหน้าที่.
โดยสรุปแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าการจัดบริการอาชีวอนามัยให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล แม้จะมีความคืบหน้าไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายเท่าที่ควร ทำให้การดูแลสุขภาพเจ้าหน้าที่อยู่ในสถานะที่อาจเรียกได้ว่า "ตามมีตามเกิด" กล่าวคือ ถ้าผู้บริหารโรงพยาบาลและทีมงาน HA เห็นประโยชน์ ก็จะมีการร่วมงานกับทีมอาชีวอนามัย ทำการดูแลสุขภาพเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสม เช่น สำรวจสิ่งคุกคามสุขภาพในหน่วยงาน แก้ไขด้วยวิธีทางวิศวกรรม จัดให้ตรวจสุขภาพตามความเสี่ยง เป็นต้น แต่ในอีกหลายโรงพยาบาลที่ไม่เกิดงานนี้ขึ้นนั้น เจ้าหน้าที่หลายคนยังปฏิบัติงานอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บ เจ็บป่วย พิการหรือเสียชีวิตด้วย "โรคจากการทำงาน"โดยไม่จำเป็น.
ของฝากจากชุมแพ
การไปเยี่ยมสำรวจโรงพยาบาลชุมแพ ทำให้ได้เห็นความสำคัญของ "ห้องส้วม"เนื่องจากมีการสร้างห้องส้วมที่สะอาด สวยงามและมีจำนวนเพียงพอ. สำหรับทั้งผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ การที่ทีมงานของโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ น่าจะถือเป็น"ตัวชี้วัด" ของการดูแลสุขภาพที่ดี เพราะต้องเริ่มจากการคำนึงถึงใจของผู้คนที่กำลังมี "ทุกข์" ให้มีโอกาสได้ปลดทุกข์ได้ตามที่ต้องการ ถ้าไปเยี่ยมโรง-พยาบาลใดแล้วเห็นสภาพห้องน้ำที่ไม่น่าเข้า ผู้เขียนก็มักจะเสนอแนะให้ปรับปรุงเสมอ.
นอกจากห้องส้วมแล้ว เจ้าหน้าที่แต่ละแผนกได้รับงบประมาณจากงานพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล ให้ปรับสภาพแวดล้อมของหน่วยงานตนเอง เพื่อให้เอื้อต่อสุขภาพ ทำให้ได้เห็นสวนสวยๆ หน้าหออภิบาล ผู้ป่วยหนัก และยังมีบริเวณกว้างขวางให้ผู้ป่วยและญาติได้นั่งคุย ล้อมวงกินข้าวเหนียวกับแจ่วด้วยกัน.
หน่วยงานที่มีสภาพแวดล้อมแปลกตากว่าโรงพยาบาลอื่นที่สุด คือ หน่วยซ่อมบำรุง เนื่องจากที่ชุมแพนี้ อาคารซ่อมบำรุงเป็นอาคารชั้นเดียว สร้างอยู่ใต้ร่มไทรขนาดใหญ่มาก และมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับรอบอาคาร เมื่อยามที่ดอกไม้ผลิบาน อาคารนี้จะสวยงามมาก แทบไม่ทราบว่าเป็นอาคารซ่อมบำรุงเลยทีเดียว.
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ให้ข้อเสนอแนะแก่ทีมอาชีวอนามัยของโรงพยาบาลว่า การปรับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ได้ทำมาแล้วเป็นสิ่งดี แต่ยังมีบางประเด็น ให้ปรับเพิ่มเติมได้อีก เช่น
¾ อาคารซ่อมบำรุงที่สวยงามนั้น มีการติด เครื่องปรับอากาศให้เจ้าหน้าที่ทำงานสบาย แต่มีการเชื่อมโลหะและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อยู่ข้างในด้วย แม้จะเลือกทำเฉพาะชิ้นงานเล็กๆ แต่ไอโลหะจากการเชื่อมก็ยังอาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่ได้รับโลหะมากเกินไปได้.
¾ แผนกหน่วยจ่ายกลาง มีการปูกระเบื้องพื้นอย่างสวยงาม แต่มีการเข็นรถรับส่งผ้าตลอดเวลาทำให้กระเบื้องแตกหัก ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม และยังก่อความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการเดินสะดุดกระเบื้องแตกเหล่านั้น.
¾ ห้องทำงานของหัวหน้าห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลอยู่ในห้องที่ทำการเพาะเชื้อจุลชีพต่างๆ ทำให้หัวหน้าต้องนั่งทำงานข้างๆ บริเวณตากจานเพาะเชื้อและตู้ย้อมเชื้อวัณโรค ซึ่งแม้จะเป็นตู้ที่มีความปลอดภัยเพราะเป็น biological safety cabinet (BSC) ระดับ 2 กันการฟุ้งกระจายของเชื้อวัณโรคได้ แต่ก็ไม่น่าจะวางใจขนาดนั่งทำงานในห้องที่ใช้คน และเครื่องใช้ระบายอากาศกลางร่วมกัน.
ของฝากจากควนโดน
สำหรับของฝากจากควนโดนนั้น ถือเป็น "นวัตกรรม" ที่น่าสนใจอีกเช่นกัน ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้นำไปดูสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า" มอเตอร์ลากจูงรถเข็นของหนัก" ที่มีการติดตั้งบริเวณพื้นลาดของโรงพยาบาลจากบริเวณหน้าหน่วยซักฟอกและโรงครัวกับทางเดินเชื่อมตึก.
คุณปรัชญา พรัดขำ เจ้าของความคิด ได้เล่าว่าเกิดแรงบันดาลใจจากการเห็นเจ้าหน้าที่ซักฟอกและโรงครัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงต้องเข็นรถรับส่งผ้าและอาหารที่มีน้ำหนักมากขึ้นทางลาดทุกวัน วันละหลายครั้ง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บ เพราะรถถอยย้อนกลับ รวมทั้งอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างๆ จึงเกิดแนวคิดติดตั้งมอเตอร์ช่วยลากรถขึ้นเนินเพื่อลดความเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ อุปกรณ์ทั้งหมดราคา 38,500 บาท นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก.
ผู้เขียนเห็นด้วยกับท่านผู้อำนวยการและคุณปรัชญาว่ามอเตอร์นี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ประการแรก ช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยของเจ้าหน้าที่ ประการที่สอง สะท้อนให้เห็นว่าโรงพยาบาลนี้ให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุนงานบริการ เช่น โรงครัว หน่วยซักฟอก เท่ากับสมาชิกอื่นๆ ของโรงพยาบาล และประการสุดท้าย เป็นนวัตกรรมที่คิดเองทำเองไม่ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ.
นอกจากมอเตอร์ที่ว่าแล้ว การเดินสำรวจโรงพยาบาลคร่าวๆ กับท่านผู้อำนวยการและคุณปรัชญาในเย็นวันนั้น ได้ประเด็นที่น่าสนใจมาฝากท่านผู้อ่านอีกหลายประเด็น คือ
¾ ห้องที่ติดตั้งเครื่องอบไอน้ำของโรงพยาบาลควนโดน เป็นผนังปูนแต่หน้าต่างเป็นไม้ ซึ่งยังใช้ การลงกลอนปิดอีกด้วย ต่างจากโรงพยาบาลอื่นที่ใช้หน้าต่างกระจกทั้งแบบเปิดได้และไม่ได้ สาเหตุก็เพราะ ได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่าถ้าหากเครื่องอบไอน้ำระเบิดกระจกจะกระเด็นรอบทิศ เพิ่มโอกาสการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ ขณะที่เศษไม้จะกระเด็นไม่รุนแรงเท่า.
¾ ก๊าซที่ใช้ในโรงพยาบาล มีการรวมถังจ่ายไว้บริเวณเดียวกัน และมีการล้อมรั้วใส่กุญแจไว้เป็นสัดส่วน ก่อนขึ้นปฏิบัติงานตอนเช้า แม่ครัวและเจ้าหน้าที่หอผู้ป่วย จะไขกุญแจเข้าไปเปิดวาล์วเพื่อส่งก๊าซไปตามท่อจ่าย ทำให้ไม่ต้องวางถังก๊าซใกล้เตาทำอาหารหรือในหอผู้ป่วย ถือเป็นการลดความเสี่ยงจากการระเบิดของถังก๊าซ.
¾ มีการกำหนด "เขตสะอาด" แม้แต่ในโรงครัวของโรงพยาบาล เพื่อให้เป็นบริเวณเปลี่ยนเสื้อผ้าของแม่ครัวและเก็บวัตถุดิบประกอบอาหาร.
¾ ระบบประปา "โบราณ" ติดตั้งอยู่ในพื้นที่กลางโรงพยาบาล เป็นทัศนียภาพที่ไม่สวยงามนัก จึงได้ทำการปรับให้เป็นน้ำตกและสวน เสียงน้ำประปาไหล จึงกลายเป็นเสียงที่ชวนฟังและต้นไม้เขียวสดโดยรอบทำให้สดชื่นและสวยงาม.
¾ มีนกจำนวนมาก ชอบมาเกาะที่ป้ายพลาสติกซึ่งแขวนบอกทางไปแผนกต่างๆ ของโรงพยาบาล จนต้องมีการติด "ลวดกันนก" โดยใช้เส้นลวดธรรมดาที่ใช้กับงานช่างทั่วไป มาขึงตลอดความยาว เหนือป้ายขึ้นไปประมาณ 1 นิ้ว เพียงเท่านั้น ลวดก็ทำให้นกเกาะป้ายไม่ถนัดจนไม่อยากเกาะป้ายลดปัญหาป้ายเปื้อนได้.
¾ เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่นิยมนำสุนัขและแมวมาปล่อยที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก ทำการห้ามแล้วไม่ได้ผล จึงเลือกลด "ความเสี่ยง" ด้วยการจัดทำ"ประกาศโรงพยาบาลควนโดน" เพื่อเตือนภัยจากการเล่นกับสัตว์เหล่านั้น โดยติดตั้งป้ายประกาศไว้บริเวณห้องตรวจผู้ป่วยนอก.
ผู้เขียนหวังว่า ท่านผู้อ่านจะมีความสุขกับการได้อ่านเรื่องราวของ "นวัตกรรม" ง่ายๆ เหล่านี้ และสามารถนำไปปรับ "มุมมอง" การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าน รวมทั้งนำไปปรับใช้ให้เกิดผลในการลดความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่ทุกกลุ่มงานต่อไป.
ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.
DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ
และสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข
E-mail address : [email protected]<
- อ่าน 2,803 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้