ด้วยหนังสือเรื่องขอทราบความเห็นทางวิชาการจากสภาเภสัชกรรม ที่ สภ 01/01/154 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2522 เกี่ยวกับคุณสมบัติของยาของสเตอรอยด์ และผลข้างเคียง โดยแนบสำเนาหนังสือโรงพยาบาลระยอง ด่วนมากที่ รย 0027.101.2/2296 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2522 มาด้วยนั้น
บริการเภสัชสนเทศ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ทำการสืบค้นฐานข้อมูลและหนังสืออ้างอิงที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า
I. การออกฤทธิ์ของยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์ (รัชตะ รัชนะนาวิน และคณะ, 2550)
ยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์ มีการออกฤทธิ์ที่หลากหลาย โดยแบ่งลักษณะการออกฤทธิ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) การออกฤทธิ์แบบ mineralocorticoid ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมดุลของน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย โดยเพิ่มการดูดซึมกลับที่ไตของโซเดียมทำให้เกิดน้ำคั่งในร่างกาย และเพิ่มการขับออกของโปแตสเซียมและไฮโดรเจนไอออน 2) การออกฤทธิ์แบบ glucocorticoid ซึ่งมีฤทธิ์ที่หลากหลาย ได้แก่ ต้านการอักเสบและมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบเมตาบอลิสมของร่างกายหลายอย่าง เช่น การทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นด้วยการลดการใช้กลูโคสของร่างกาย (decrease peripheral glucose utilization) และเพิ่มการสร้างกลูโคส (gluconeogenesis) เพิ่มการสะสมของไกลโคเจน เพิ่มการสลายของโปรตีนและไขมัน
II. ผลข้างเคียงของยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์
ผลข้างเคียงหลักของยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์มีหลายประการ (Sweetman, 2005) ดังนี้
1. การบวมน้ำและการสะสมของโซเดียมในร่างกาย ซึ่งคุณสมบัตินี้เกิดจากฤทธิ์แบบ mineralocorticoid ซึ่งมักพบมากในคอร์ทิโคสเตอรอยด์ที่ผลิตขึ้นเองในร่างกายตามธรรมชาติ แต่ไม่ค่อยพบในยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมา
2. ผลข้างเคียงที่เกิดจากฤทธิ์ glucocorticoid มีหลายประการ เช่น การกดการทำงานของต่อมหมวกไต, รบกวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แผลหลายช้า เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น, มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้, ผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิสม ทั้งการเพิ่มระดับน้ำตาล ระดับ triglyceride และ cholesteral ในเลือด, เพิ่มความดันในลูกตา ทำให้เกิดต้อหินได้ และการที่ยาไปจับโปรตีนที่เลนส์ตาได้ทำให้เกิดเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายขึ้น, การเพิ่มอุบัติการในการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร, ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ลดลง และยับยั้งการตกไข่, กลูโคคอติคอยด์ในขนาดสูงสามารถทำให้มวลกระดูกลดลงได้, ทำให้เกิดการบางของผิวหนังได้เนื่องจากมีการไปยับยั้งการเจริญของเซล์
สำหรับผลข้างเคียงตามรายการที่ให้มา 7 ข้อดังนี้
- โรคต้อกระจก
- โรคหอบหืดเฉียบพลัน
- โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคผิวหนังสะเก็ดเงิน ชนิดร้ายแรงทั่วตัว
- ตาแห้ง
- น้ำหนักลด
- เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว เส้นผมหรือเส้นขนหลุดร่วง
จากการสืบค้นเอกสารอ้างอิงที่เกี่ยวข้องพบว่าผลข้างเคียงของคอร์ทิโคสเตอรอยด์เกี่ยวข้องกับข้อที่ 1. โรคต้อกระจก และอาจเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวในข้อ 6. โดยมีผลทั้งน้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดก็ได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
โรคต้อกระจก
คอร์ทิโคสเตอรอยด์ทำให้เกิดโรคต้อกระจกง่ายขึ้น โดยมีรายงานว่าโรคต้อกระจกอาจเกิดจากกลูโคคอติคอยด์ ไปจับกับ crystalline protein ของ lens การเกิดต้อกระจกจากกลูโคคอติคอยด์มักเป็นทั้ง 2 ข้าง และมักพบในผู้ที่ได้รับยาในขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และสามารถเกิดในผู้ป่วยที่ใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ในรูปแบบของยาพ่นด้วย (รัชตะ รัชนะนาวิน และคณะ, 2550) การใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์แบบทาเฉพาะที่หรือออกฤทธิ์ทั่วร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดต้อกระจก โดยรูปแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายทำให้เกิดผลข้างเคียงนี้ได้มากกว่า อุบัติการณ์ของการเกิดต้อกระจกจากการใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์มีการรายงานไว้ในช่วงกว้างระหว่างร้อยละ 2.5 – 60 นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดต้อกระจกชนิด POSTERIOR SUBCAPSULAR CATARACTS นั้นคือการใช้ยา Prednisolone (คอร์ทิโคสเตอรอยด์ชนิดหนึ่ง) ในขนาดมากกว่า 10 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันระหว่าง 1 – 4 ปี ขึ้นอยู่กับความไวของแต่ละบุคคล (DRUGDEX, 2009)
ผลต่อน้ำหนักตัวของผู้ใช้ยา
มีคำแนะนำทั่วไปสำหรับผู้ที่ใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์ว่ายาประเภทนี้อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ (DRUGDEX, 2009) ส่วนผลข้างเคียงของการใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์ต่อภาวะน้ำหนักลดนั้นไม่ได้มีรายงานไว้ชัดเจน แต่อาจะพบได้เช่นกันในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาขนาดสูงเป็นเวลานานแล้วหยุดยากระทันหันทำให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเรื้อรัง (Chronic adrenal insufficiency) ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักลดได้ (รัชตะ รัชนะนาวิน และคณะ, 2550) ซึ่งรายละเอียดอธิบายได้ดังนี้
การใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์ในขนาดสูงเป็นเวลานานแล้วหยุดใช้ยาในทันที อาจส่งผลให้ต่อมหมวกไตไม่สามารถสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง (Adrenal insufficiency) เป็นผลให้เกิดกลุ่มอาการทางคลินิก 2 ลักษณะคือ ภาวะวิกฤตของต่อมหมวกไต (Acute adrenal insufficiency) และ ภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเรื้อรัง (Chronic adrenal insufficiency) ผู้ป่วยที่ตกอยู่ในภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเรื้อรัง อาจมาพบแพทย์ด้วยอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด รวมถึงอาจมีไข้ต่ำๆ ซึ่งอาการจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เชื่อว่าความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตบอกพร่องแปรตามขนาดของยาที่ให้ ระยะเวลาที่ให้ยา รูปแบบของยา และวิธีการบริหารยา แต่ยังไม่มีรายงานการศึกษาถึงปัจจัยเหล่านี้อย่างแน่ชัดเนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ โดยทั่วไปแนะนำให้นึกถึงว่าผู้ป่วยอาจตกอยู่ในภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องหากเคยรับประทานยากลุ่มคอร์ทิโคสเตอรอยด์ในขนาดที่เทียบเท่ากับหรือมากกว่า Prednisolone 20 – 30 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ หรือรับประทานในขนาดที่สูงกว่า Physiologic range (Prednisolone 5 มิลลิกรัมต่อวัน) เพียงเล็กน้อยในช่วงเช้าเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน (รัชตะ รัชนะนาวิน และคณะ, 2550) การป้องกันภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเรื้อรังทำได้โดยห้ามหยุดยากะทันหัน แต่ต้องค่อย ๆ ลดขนาดยาลงทีละน้อย
ไม่พบรายงานผลข้างเคียงเหล่านี้ที่เกิดจากคอร์ทิโคสเตอรอยด์ (American Hospital Formulary Service,2005 ; DRUGDEX, 2009 ; รัชตะ รัชนะนาวิน, 2550, Aulakh, et al,2008)
1. โรคหอบหืดเฉียบพลัน
2. โรคถุงลมโป่งพอง
3. โรคผิวหนังสะเก็ดเงิน ชนิดร้ายแรงทั่วตัว
4. ตาแห้ง
5. เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว เส้นผมหรือเส้นขนหลุดร่วง ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนสีของเส้นผม หรือเส้นผมหลุดร่วง แต่ในทางกลับกัน มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ใช้คอร์ทิโคสเตอรอยด์ว่าอาจพบผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงเช่น ทำให้เส้นผมงอกขึ้นได้ (DRUGDEX, 2009)
เอกสารอ้างอิง
American Hospital Formulary Service (AHFS) drug information. (2005). Bethesda, MD: American Society of Hospital Pharmacists
Aulakh, R, Singh S. (2008). Strategies for minimizing corticosteroid toxicity: A review. Indian Journal of Pediatrics 75 (October): 1067-1073.
Betamethasone (n.d.). DRUGDEX® System Retrieved April 17, 2009, from http://www.thomsonhc.com< . Greenwood Village, CO : Thomson Reuters (Healthcare) Inc.
Dexamethasone (n.d.). DRUGDEX® System Retrieved April 17, 2009, from http://www.thomsonhc.com< . Greenwood Village, CO : Thomson Reuters (Healthcare) Inc.
Prednisolone. (n.d.). DRUGDEX® System Retrieved April 17, 2009, from http://www.thomsonhc.com< . Greenwood Village, CO : Thomson Reuters (Healthcare) Inc.
Sweetman S.C. (2005). Martindale : the complete drug reference. 34th ed. London : Pharmaceutical Press: 1068-1070.
รัชตะ รัชนะนาวิน. (2550). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการการศึกษาความชุกของปัญหาทางคลินิกที่เกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์. [ม.ป.ท. : ม.ป.พ.], 2550.
ให้ข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2552
ลงชื่อผู้ให้บริการตอบคำถาม ........................................................
(สมชาย สุริยะไกร)
ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายเภสัชศาสตร์ศึกษา
บริการเภสัชสนเทศ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- อ่าน 19,488 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้








