คำถาม: อยากทราบหลักการการใช้ยากันชักในหญิงตั้งครรภ์ ?
หัวข้อในการสืบค้น: Epilepsy, Seizure, Phenytoin, Phenobarbital, Carbamazepine, Valproic acid ประเภทคำถาม : Therapeutic use / efficacy
การสืบค้น
วิธีสืบค้น : ใช้เอกสารและคอมพิวเตอร์
แหล่งข้อมูล : ใช้เอกสารทุติยภูมิ (Secondary Source) และเอกสารตติยภูมิ (Tietiary Source)
การเริ่มค้นหาคำตอบและคำตอบที่ได้ :
เริ่มจากการเปิดหนังสือ Applied Therapeutics โดยเปิดคำว่า Epilepsy จากในส่วนของ index ข้างหลังเล่มก่อน หลังจากนั้นจะพบว่ามีหัวข้อใหญ่ของ Epilepsy จากนั้นเมื่อเปิดค้นในหน้าหลักก่อน พบว่ามีอธิบายในเรื่องโรค Epilepsy และมีหัวข้อย่อยของหลักการการใช้ยากันชักในหญิงตั้งครรภ์ และจากนั้นได้ค้นเพิ่มในหนังสือ Pharmacotherapy Dipiro โดยเปิดในส่วนของสารบัญ โดยมีหัวข้อหลักคือ Seizure และมีเรื่องย่อยของการใช้ยากันชักในหญิงตั้งครรภ์ เมื่อพิจารณาจากหนังสือทั้ง 2 เล่มให้ข้อมูลที่คล้ายกัน และจากฐานข้อมูลของ CCIS ได้ให้ข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน โดยคำตอบดังนี้คือ
1. ก่อนอื่นให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้ยากันชัก
2. ในหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานยากันชักอยู่แล้ว ควรให้ในขนาดยาที่ต่ำที่สุด ที่ควบคุมอาการชักได้
3. ควรมีการตรวจวัดระดับยากันชักในเลือดทุก 1 เดือนในระหว่างตั้งครรภ์ถ้าเป็นไปได้ และถ้ามีอาการชักเกิดขึ้น ควรพิจารณาแพทย์ปรับขนาดยาเพิ่มขึ้นได้
4. เน้นถึงความจำเป็นที่ต้องรับประทานยากันชักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถคุมอาการชักได้
5. ไม่แนะนำให้มีการใช้ยากันชักมากกว่า 1 ชนิดร่วมกัน เนื่องจากมีผลเพิ่มการเกิดทารกก่อวิรูปได้ โดยให้ใช้ยากันชัก 1 ชนิดเท่านั้น และในขนาดยาที่ต่ำที่สุดที่คุมชักได้
6. ให้ยา Folic acid 5 mg/day ในระหว่างที่ใช้ยากันชัก การให้ Folic acid อาจลดความพิการในทารกได้ นอกจากนี้การใช้ยา Phenytoin, Valproic acid มีผลรบกวน metabolism Folic acid ได้ มีผลทำให้เกิดการขาด Folic acid และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด congenital malformation
7. ควรมีการตรวจเพื่อดูความผิดปกติของ neural tube ของทารกในครรภ์ โดยอาจมีการตรวจโดยใช้วิธี Ultrasound
8. ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ให้รับประทาน Vitamin K 10 mg/day เป็นเวลา 1 เดือนก่อนคลอด และถ้าแม่ได้รับยา Phenytoin, Phenobarbital, Carbamazepine เมื่อคลอดทารกแล้ว ทารกต้องได้รับการฉีด Vitamin K ในขนาด 1 mg โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
9. ในช่วงหลังคลอด ควรมีการติดตามวัดระดับยากันชักในเลือดอย่างใกล้ชิด และแพทย์อาจปรับลดขนาดยาลงในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอดได้
10. ในช่วงที่ให้นมบุตร พบว่ายากันชักส่วนมากมักขับออกทางน้ำนมได้ จึงให้แม่หมั่นสังเกตอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในทารก เช่นอาการง่วงซึม งอแงบ่อย รับประทานอาหารได้น้อยลง
จากนั้นได้ค้นข้อมูลเพิ่มในส่วนของผลจากยากันชักที่มีต่อทารกในครรภ์ พบว่า
- ยา Phenytoin ทำให้เกิด Fetal hydantoin syndrome 11 %
- ยา Phenobarbital ทำให้เกิด Fetal Phenobarbital syndrome 4.2 - 25 %
- ยา Carbamazepine ทำให้เกิด neural tube defect 19 % ซึ่งเกิดน้อยกว่ายา Valproate
- ยา Valproate เกิด neural tube defect, spina bifida พบว่าเกิดทารกก่อวิรูปได้มากกว่ายากันชักอื่นๆ ได้ถึง 20 เท่า
ซึ่งความผิดปกติที่พบได้บ่อยในทารก คือ ความผิดปกติในช่องปากและใบหน้า การเกิดโรคหัวใจตั้งแต่เด็กและการเกิด neural tube defect ถือว่ารุนแรงสุด แต่สัมพันธ์กับขนาดยาที่ใช้ ถ้าใช้ขนาดยาสูงย่อมมีโอกาสเกิดมากขึ้นด้วย และได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มในหนังสือ Pregnancy and Lactation พบว่า ยา Phenytoin, Phenobarbital, Carbamazepine, Valproic acid อยู่ในกลุ่ม Pregnancy Category D
เอกสารอ้างอิง:
· Susan J. Roger and Jose E. Cavazos ; Charpter 58 Epilepsy ; Pharmacotherapy Dipiro : A Pathophysiologic approach ; 7 th edition ;2008:938
· James W. McAuley, Rex S. Lott;Charpter 54 Seizure disorders;Teratogenicity;Applied Therapeutics 8 th ed :2005: 54-35
· MICROMEDEX® Healthcare Series. Available at: URL: http://www.thomsonhc.com/home/dispatch<. Accessed January 13, 2009
· Gerald G. Briggs, Roger K. Freeman, Sumner J. Yaffe; Drug in Pregnancy and Lactation;
7 th edition; 2005; 217,1277,1297,1689
- อ่าน 10,293 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้








