Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ » เมื่อลูกเป็นไข้
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เมื่อลูกเป็นไข้

โพสโดย l3aipat เมื่อ 30 มิถุนายน 2553 11:26

ทำไมถึงเป็นไข้
      ไข้เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเจ็บป่วยหรือเกิดการติดเชื้อขึ้นภายในร่างกาย เป็นกระบวนการต่อสู้ทางธรรมชาติ เกิดการหลั่งสารก่อไข้ ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ทำให้เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่ไวต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี จึงพบว่าเวลามีไข้มักเกิดอาการหนาวสั่น ซึ่งการสั่นของกล้ามเนื้อทำให้มีการสร้างความร้อนออกมา มือและเท้าเย็น เนื่องจากหลอดเลือดที่ผิวหนังเกิดการหดตัวเพื่อกักเก็บความร้อนไว้นั่นเอง ต่อมาเมื่อความเจ็บป่วยทุเลาลง อาการไข้ก็จะลดลงและหายไปเองในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้โดยทั่วไป มักมาจาก การติดเชื้อหรือการอักเสบที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น การได้รับวัคซีนก็เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดไข้ได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ปกครองจะสังเกตเห็นว่าเมื่อลูกได้รับวัคซีน แพทย์มักจะจ่ายยาลดไข้ให้ด้วยเสมอ สาเหตุอื่นๆที่อาจทำให้เป็นไข้ เช่น ภาวะการขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อย การตากแดดเป็นเวลานาน เป็นต้น

 

เมื่อไรถึงจะเรียกว่ามีไข้
     ปกติร่างกายของคนเราจะมีอุณหภูมิประมาณ 36.5 – 37.5 °C ดังนั้น หากอุณหภูมิร่างกายสูงกว่านี้แสดงว่ามีไข้ ปัจจุบันปรอทวัดไข้มีหลายรูปแบบ และวัดที่ตำแหน่งต่างกัน ทั้งนี้การวัดไข้คนละตำแหน่งจะได้อุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น การวัดทางทวารหนักอุณหภูมิจะสูงกว่าการวัดทางรักแร้ เนื่องจากการวัดทางรักแร้เป็นการวัดภายนอกร่างกายแต่การวัดทางทวารหนักเป็นการวัดภายในร่างกาย ดังนั้น การวัดอุณหภูมิที่ถือว่าอยู่ในระดับที่มีไข้นั้น เมื่อวัดในตำแหน่งต่างๆ จะได้ดังนี้

ทางปากหรือในหู มากกว่า 37.8  °C
ทางรักแร้ มากกว่า 37.2 °C
ทางทวารหนัก มากกว่า 38 °C

     ทั้งนี้ การใช้แผ่นวัดโดยการทาบที่หน้าผาก หรือการใช้ความรู้สึกจากมือสัมผัส อาจจะบอกได้เมื่อมีไข้สูงเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีไข้เล็กน้อยจะคลาดเคลื่อนได้

 

ทำอย่างไรเมื่อเด็กเริ่มมีไข้
     การปฏิบัติที่ผู้ปกครองต้องทำเพื่อลดไข้เป็นอันดับแรก คือ การเช็ดตัวเพื่อทำการลดอุณหภูมิร่างกายลง ควรเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น อย่าใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งเช็ดตัว เพราะทำให้หลอดเลือดหดตัว ระบายความร้อนออกยากและยังทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้อีก ควรเช็ดที่ศีรษะ และลำตัวส่วนที่ร้อนโดยเน้นบริเวณที่เป็นข้อพับต่างๆ เช่น ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ไข้ลดลงได้เร็วขึ้น อย่าให้เด็กใส่เสื้อผ้าหนา และไม่ควรห่อหรือห่มผ้ามาก เพราะความร้อนจะไม่สามารถระบายออกได้ และควรให้เด็กดื่มน้ำมากๆ เพราะเมื่อมีไข้ ร่างกายจะขาดน้ำมากกว่าปกติ

 

ยาลดไข้...สำหรับลูกน้อย
     หลังจากเช็ดตัวแล้ว หากไข้ยังไม่ลดลงควรพิจารณาให้ยาลดไข้ควบคู่ไปด้วย ยาลดไข้ที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ Paracetamol ซึ่งมีหลายรูปแบบ อาทิ ยาน้ำเชื่อม ยาน้ำเชื่อมชนิดแขวนตะกอน ยาน้ำเชื่อมเข้มข้นแบบหยด และยาเม็ดสำหรับเด็ก โดยยาแต่ละชนิดจะมีความเข้มข้นของปริมาณตัวยาแตกต่างกัน

 

รูปแบบ ตัวอย่างยาในรพ.บำรุงราษฎร์ ความเข้มข้น
ยาน้ำเชื่อมเข้มข้นแบบหยด Tempra drop, Tylenol drop 10 mg/ 0.1 ml
ยาน้ำเชื่อมและยาน้ำเชื่อมแขวนตะกอน Tempra, Calpol, Hypotemp
Tempra Forte, Calpol Forte
120 mg/ 5 ml
250 mg/ 5 ml
ยาเม็ดสำหรับเด็ก Paracetamol   325 mg

     ส่วนยาอีกชนิดที่นิยมใช้เพื่อลดไข้ คือ ตัวยา Ibuprofen หรือ Nurofen® 100 mg/ 5 ml จัดเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มแก้ปวดแก้อักเสบ มีฤทธิ์ลดไข้ได้ดี แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญ คือ ระคายเคืองกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานยาหลังอาหารทันที ขณะที่ Paracetamol จะให้ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้


การคำนวณขนาดยาลดไข้
      การให้ยาในเด็กต้องคำนึงถึงน้ำหนักตัวเป็นสำคัญ สำหรับ Paracetamol ขนาดยาที่เหมาะสม คือ 10 –15 mg/kg/dose ทุก 4-6 ชั่วโมง เช่น เด็กหนัก 10 kg ปริมาณยาที่ควรได้รับคือ 100-150 mg จากนั้นคำนวณเทียบ กลับไปเป็นปริมาณมิลลิลิตร ดังตัวอย่าง (คิดจากปริมาณยา 100 mg)


Tempra drop(10 mg/ 0.1 ml)   ขนาดที่ควรได้รับ   คือ  0.1 ml
Tempra syrup(120 mg/ 5 ml)  ขนาดที่ควรได้รับ   คือ      4 ml
Tempra Forte(250 mg/ 5 ml)  ขนาดที่ควรได้รับ    คือ     2 ml


      จะเห็นได้ว่า ยายี่ห้อเดียวกัน แต่ความเข้มข้นไม่เท่ากัน การคำนวณปริมาณยาที่ได้จะไม่เท่ากันด้วย เช่น Tempra drop มีความเข้มข้นของตัวยามากกว่าตำรับอื่น ปริมาณที่ให้จึงน้อยมากเพียง 0.1 ml ดังนั้น การให้ยาเด็กแต่ละครั้ง ผู้ปกครองควรพิจารณาถึงความเข้มข้นของยา และน้ำหนักตัวของเด็กควบคู่ไปด้วย
      ส่วน Ibuprofen ขนาดยาที่เหมาะสมเท่ากับหรือใกล้เคียงกับ Paracetamol คือ 5 –10 mg/kg/dose ทุก 6 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามสำหรับ Ibuprofen ผู้ปกครองไม่ควรซื้อให้เด็กรับประทานเอง ควรสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น


ควรพาเด็กไปพบแพทย์เมื่อใด
       โดยทั่วไปเมื่อเช็ดตัวและให้ยาลดไข้แล้ว ไข้จะลดและหายไปเองภายใน 3-4 วัน แต่หากไข้ยังไม่ลด รวมถึงมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น ซึม เบื่ออาหารมาก อาเจียนหรือท้องเสียหลายครั้ง ไอ หายใจหอบเหนื่อย เกร็งชัก หรืออาการต่างๆที่แสดงถึงความผิดปกติ ให้รีบนำเด็กไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพื่อหาสาเหตุต่อไป

 

FAQs
Q: อุณหภูมิเท่าใดถึงจัดว่าเป็นไข้สูง และควรให้ยาลดไข้ชนิดใด
A: เมื่อมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 39 °C และควรรีบเช็ดตัวพร้อมให้ยาลดไข้ทันที เนื่องจากอาจเกิดอาการชักตามมาได้ ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กอายุ 3 เดือนถึง 6 ปี ส่วนยาลดไข้ที่นิยมใช้ในไข้สูง คือ Ibuprofen เนื่องจากมีฤทธิ์ลดการอักเสบด้วย โดยให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง อาจให้เพียงชนิดเดียวหรือให้ร่วมกับ Paracetamol ทุก 4-6 ชั่วโมง สลับกันไปก็ได้ จนกว่าไข้จะลด
Q: ยาลดไข้ Ibuprofen ต้องให้หลังอาหารทันที แต่ลูกไม่ยอมทานข้าว จะทำอย่างไร
A: เนื่องจากยา Ibuprofen ระคายเคืองกระเพาะอาหาร จึงต้องให้ลูกมีอาหารรองท้องก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวหรืออาหารมื้อหลัก แต่อาจเป็นนม ขนมปัง หรือคุ้กกี้ ฯลฯ ก็ได้
 

เรียบเรียงโดย ภญ.ณัชชา ผลศรัทธา ศูนย์ข้อมูลยา (Drug Information Service)
ให้คำปรึกษาการใช้ยา โทร.02-6671480 E-mail: [email protected]

 

  • อ่าน 41,331 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้
Skip to Top

คำถามสุขภาพ

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • อื่น ๆ

  • สนับสนุนสื่อสุขภาพออนไลน์หมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • คำแนะนำสำหรับประชาชน เรื่อง โรคจากเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลชนิดรุนแรง
  • ผ่าตัดฟรีสำหรับเด็ก ที่เป็นโรคหัวใจ
  • สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.)

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <