การใช้ยาคุมกำเนิดกับการใช้ห้องน้ำรวม
ถาม : วิภา/สงขลา
หนูเพิ่งมีประจำเดือนไม่กี่ครั้งเองค่ะ เวลาเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่กล้าถามครูเท่าไร เพราะอายเพื่อนๆ กลัวเพื่อนจะว่าเอา (ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร) ขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ
๑. เกี่ยวกับเรื่องยาคุมกำเนิด
- ยาคุมกำเนิดมีกี่ชนิด
- วิธีการใช้
- กินแล้วจะเป็นอันตรายแค่ไหน (ในกรณีที่ใช้นานๆ)
- คนที่เป็นโรคประจำตัว โรคอะไรบ้างที่ไม่ควรกินยาคุมกำเนิด
๒. เกี่ยวกับการใช้ห้องน้ำรวม
- ถ้าผู้หญิงไปใช้ห้องน้ำผู้ชาย (ผู้หญิงจะมีโอกาสท้องไหมค่ะ) เพราะบางทีผู้ชายเข้าไปทำธุระส่วนตัว อาจจะมีอสุจิอยู่ในโถส้วมก็ได้ แล้วถ้าผู้หญิงเข้าไปทำธุระส่วนตัวบ้างอสุจิจะกระเด็นขึ้นมาไหมค่ะ (บางทีผู้ชายไม่กดชักโครก)
ตอบ : นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
๑. ยาคุมกำเนิดที่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น
ก. ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดรวม บรรจุในแผง ๒๑ เม็ด และ ๒๘ เม็ด ในตัวยาแต่ละเม็ดจะมีฮอร์โมน ๒ ชนิด คือ เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ในปริมาณสม่ำเสมอเท่ากันทุก เม็ดแบ่งเป็นชนิดฮอร์โมนมาตรฐานมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ๕๐ ไมโครกรัม ชนิดฮอร์โมนต่ำมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ๓๐ ไมโครกรัม และชนิดฮอร์โมนต่ำพิเศษที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียง ๒๐ ไมโครกรัม
ข. ยาคุมกำเนิดชนิด minipill เป็นยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับการคุมกำเนิดในระยะหลังคลอดเพราะไม่ยับยั้งการผลิตน้ำนมเหมือน ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดรวม
ค. ยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์หรือยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้หลังการมีเพศสัมพันธ์ภายในไม่เกิน ๔ ชั่วโมง โดยยาแต่ละเม็ดมีปริมาณฮอร์โมนโปรเจสโตเจนในขนาดสูง ไม่เหมาะที่จะกินในกรณีที่จะมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ เพราะจะทำให้ได้รับฮอร์โมนในปริมาณที่สูงมากเกินขนาด
ควรเลือกคุมกำเนิดโดยการกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดเม็ดรวม โดยการเริ่มกินเม็ดแรกของแผงแรกภายใน ๕ วัน นับจากวันที่มีประจำเดือนวันแรก และกินติดต่อกันไปไม่ต้องหยุด ถ้าเป็นชนิดแผง ๒๑ เม็ด เมื่อกินหมดแล้วต้องรอประจำเดือน มาก่อนจึงกินเม็ดต่อไปในวันแรกที่มีประจำเดือน แต่ถ้าเป็นชนิดแผง ๒๘ เม็ด ให้กินจนหมดแล้วกินแผงใหม่ต่อเลยโดยไม่ต้องหยุด ยาคุมกำเนิดสามารถกินต่อเนื่องได้นานโดยไม่เกิดอันตราย ถ้าไม่มีข้อห้าม ซึ่งได้แก่ มีเนื้องอกของระบบเจริญพันธุ์ มีเลือดแข็งตัว ผิดปกติ หลอดเลือดอุดตัน ความดันเลือดสูง
๒. โอกาสที่จะเกิดตามที่ถามมานั้นแทบจะไม่มีเลย เป็นความคิดกันเอาเองโดยไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์มายืนยัน พูดง่ายๆ ก็คือ ในความเป็นจริงนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้
- อ่าน 4,549 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้