• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

วรรณา/จันทบุรี : ผู้ถาม
ดิฉันและสามีมีเพศสัมพันธ์โดย ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้วประมาณ ๑ สัปดาห์ รู้สึกผิดปกติก็เลยไปตรวจปัสสาวะหาเชื้อกามโรคที่โรงพยาบาลจังหวัด แต่ก็ไม่พบเชื้อ ต่อมาอีก ๓ วัน ดิฉัน ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลอำเภอก็ไม่พบเชื้ออะไรอีก

ต่อมาอีกประมาณ ๑ เดือนเศษ ก็รู้สึกเจ็บ ร้อน แสบ คัน มีหนอง และที่อวัยวะเพศมีสีแดงเข้ม ดิฉัน  ก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลอำเภอ หมอได้ฉีดยาให้ ๑ เข็ม และให้ยามา กิน ๒ อย่าง (แต่จำชื่อไม่ได้) กินติดต่อกัน ๕ วัน อาการที่เป็นอยู่ก็ดีขึ้นมาก และหมอก็ได้ให้ยาเหน็บมาใช้ ๓ วัน ใช้วันละ ๑ ครั้ง (ตอนกลางคืน) อาการดีขึ้นมาก หมอบอกว่ารักษาจนครบแล้ว

นับจากวันที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ๒ เดือนเศษ ดิฉันไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ดิฉันบอกหมอเพียงว่าเจ็บคอ และเจ็บไปถึงหู รู้สึกแน่นในลำคอ กลืนน้ำลายลำบาก และมีแผลเล็กๆ เกิดในปากข้างๆ แผลไม่ค่อยชัด ไม่เจ็บ แล้วก็หายไป แล้วก็เกิดแผลใหม่ไม่ห่างกันนัก แต่ แผลนี้เจ็บ พอรู้สึกว่าเจ็บแล้วก็หายไปเอง (แต่ไม่ได้บอกหมอว่าคนรักเอาอวัยวะสืบพันธุ์ใส่เข้าไป (oral sex) ดิฉันอาย และกลัวหมอจะนึกตำหนิ) หมอบอกว่าในลำคอมีสีแดง แล้วให้ยากิน ๒ อย่าง เป็นยาแก้อักเสบและยาแก้บวม อย่างละ ๒๐เม็ด ดิฉันกินยา ๒ อย่าง เกือบจะหมดแล้วอาการเจ็บคอและเจ็บหูก็ดีขึ้น และตอนนี้ดิฉันยังเจ็บที่แคมเล็กและท้องน้อยอยู่ แต่ก็ไม่เจ็บมาก เท่าไร
ดิฉันขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ
๑. ดิฉันต้องตรวจปัสสาวะอีกหรือไม่
๒. ยาเหน็บเป็นยาแก้เชื้อราใน ช่องคลอด แล้วราในช่องปากและลำคอจะหายด้วยหรือไม่
๓. แผลที่เกิดขึ้นในช่องปากจะเป็นอันตรายหรือไม่
๔. ราที่เกิดในช่องปากและลำคอ จะลามเข้าไปในหูและสมองได้หรือไม่
๕. รักษาจนครบแล้ว แต่ทำไม ยังเจ็บที่แคมเล็กอยู่คะ
๖. อาการและโรคที่เป็นอยู่จะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
ขอความกรุณาคุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ

นพ.พันธ์ศักดิ์  ศุกระฤกษ์ : ผู้ตอบ
ปัญหาของคุณจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้วละครับ เพราะเกิดการอักเสบติดเชื้อทั้งในช่องปากและ อวัยวะเพศ ซึ่งน่าจะมีผลมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่คุณได้รับจากสามีของคุณ
ในการรักษาโรคนี้ให้ได้ผลดีจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจพร้อมกันทั้ง ๒ คน ไม่อย่างนั้น ถ้าได้รับการรักษาเพียงคนใดคนหนึ่ง โรคของอีกคนที่ไม่ได้รับการรักษาก็จะไปติดใหม่ได้ ทำให้ไม่มีวันรักษาหายขาด และอาจจะมีผลร้ายในภายหลัง

พอดีคุณไม่ได้เล่ามาด้วยว่าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นจากสาเหตุอะไร เป็นแค่เชื้อรา หรือมีเชื้อแบคทีเรียจำพวกเชื้อหนองร่วมด้วย แต่จากลักษณะที่แพทย์ให้การรักษาคุณแสดง ว่า น่าจะให้การรักษาที่ครอบคลุมทั้ง เชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย เพียงแต่อาการติดเชื้อค่อนข้างรุนแรง จึงไม่หายสนิท หรือไม่ก็อาจเกิดเชื้อดื้อยาขึ้น
และคุณก็ไม่ได้เล่ามาด้วยว่าระหว่างที่ได้รับการรักษาอยู่นั้น สามี ของคุณได้รับการตรวจเชื้อด้วยหรือเปล่า

ทีนี้สมมติว่าอาการดังกล่าวที่คุณเล่ามานั้นเกิดจากการอักเสบจาก เชื้อราที่ค่อนข้างจะรุนแรงและเป็นทั้งบริเวณปากและอวัยวะเพศ คุณน่าจะให้แพทย์ตรวจด้วยว่ามีการติด เชื้อเอชไอวีมาด้วยหรือไม่ เพราะเป็น สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงจนติด เชื้อราได้ง่าย แต่ถ้าตรวจแล้วได้ผลลบ ก็น่าจะสบายใจขึ้น
๑. คุณคงจะต้องไปตรวจใหม่เป็นการติดตามการรักษาว่าหายขาด หรือไม่
๒. ยาเหน็บฆ่าเชื้อราในช่องคลอดจะไม่มีผลต่อเชื้อราในช่องปาก และลำคอ ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อราชนิดกิน
๓. ถ้าเป็นแผลจากการติดเชื้อ เมื่อรักษาเชื้อหายแล้ว แผลในปากก็จะหายไปได้เอง นอกจากมีการติด เชื้อซ้ำซ้อน
๔. ส่วนใหญ่ไม่ค่อยลามไปครับ
๕. การที่ยังเจ็บอยู่น่าจะเป็นเพราะว่าการอักเสบยังคงหลงเหลืออยู่ บ้าง แม้ว่าเชื้อจะถูกทำลายไปแล้ว หรือไม่ก็อาจเกิดการดื้อยาขึ้น ควรจะไปตรวจซ้ำใหม่
๖. ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคอะไรและได้รับการรักษาต่อเนื่องจนสาเหตุ ของโรคถูกรักษาให้หายไป อย่างไร ก็ตามขอแนะนำให้ไปตรวจซ้ำครับ