• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ผลของความเครียด

ผลของความเครียด

ผมมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หมอบอกว่าเป็นแผลที่กระเพาะและลำไส้อักเสบ ผมรักษาตัวอยู่นานก็ยังไม่หายและยังมีอาการปวดหัว นอนไม่หลับ คิดมาก วิตกกังวล หมอบอกว่าเป็นโรคประสาทลำไส้จากความเครียด

ผู้ถาม วินัย/อุดรธานี
ผู้ตอบ นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

ถาม
ผมอายุ 34 ปี มีอาชีพครู เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ในปี พ.ศ.2520-23 เนื่องจากโรคกระเพาะ มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีปวดบ้างเล็กๆ น้อยๆ ซื้อยาแอนตาซิลมากินก็หายไป พอช่วงปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมา ผมมีอาการปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก ตอนไปตรวจหมอให้ยามากิน อาการก็หายไป เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนี้เรื่อยมา

ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ.2532 ผมได้เข้าแข่งขันฟุตบอลอำเภอ ก่อนลงสนามทุกครั้งผมต้องกินยาแก้ปวด 1 เม็ด และกระทิงแดง 1 ขวดเป็นประจำ พอเดือนเมษายนผมก็มีอาการปวดท้องและถ่ายเป็นมูกดำๆ คล้ายเฉาก๊วยปนออกมา จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีก หมอบอกว่า เป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ รักษาอยู่ 4 วันก็ออกจากโรงพยาบาล อาการดีขึ้น แต่พอผมกินอาหารรสเผ็ด เช่น ส้มตำ และของหมักดอง ก็มีอาการปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเหมือนเดิมอีก จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดิมอีก 1 คืน

ต่อมาผมย้ายโรงพยาบาลอีก 2 ครั้ง และได้ทำอัลตราซาวนด์ดูตับ ถุงน้ำดี ไต ปอด หัวใจ ปรากฏว่าปกติทุกอย่าง หมอให้ยามากิน พอมีอาการปวดท้องและถ่ายเป็นมูกอีกครั้ง หมอจึงให้ผมกลืนแป้งแล้วเอกซเรย์ ผลการตรวจหมอบอกว่า มีก้อนอะไรบางอย่างอยู่บริเวณลำไส้เล็กส่วนที่ต่อกับกระเพาะ และกระเพาะก็เป็นแผลด้วย

ตอนนั้นผมกลัวว่าจะเป็นมะเร็งในกระเพาะมาก หมอบอกว่าอาจจะเป็นก้อนเลือดตกค้างหรือก้อนเนื้อก็ได้ และให้ยามากินก่อน 3 สัปดาห์ แล้วจะเอกซเรย์ดูใหม่ ผมกลัวว่าอาการจะหนักกว่าเดิม จึงถามหมอว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้ทราบผลละเอียดกว่านี้ หมอบอกว่าต้องส่องกล้องลงไปดู และได้ส่งตัวผมมาส่องกล้องที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด หมออ่านผลแล้วบอกว่าผมมีแผลที่กระเพาะและลำไส้อักเสบด้วย ส่วนก้อนที่ว่านั้นไม่มีแล้ว คงเป็นลิ่มเลือดที่ตกค้าง ผมกินยาที่หมอให้มาเรื่อยๆ อาการดีขึ้นบ้าง แต่บางครั้งก็ยังปวดอยู่

ต่อมาผมย้ายโรงพยาบาลอีก โดยขอประวัติจากโรงพยาบาลเก่าไป และหมอก็ให้ยาผมกินมาเรื่อยๆ พอยาหมดไป 3-4 วัน ผมก็ปวดท้องอีก จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดอีก หมอส่องกล้องดู บอกว่าแผลที่กระเพาะหายเป็นปกติแล้ว แต่ที่ผมยังมีอาการปวดท้องอยู่ เพราะผมมีความเครียดและวิตกกังวลมากเกินไป แล้วให้ยามากิน อาการก็เป็นๆ หายๆ เรื่อยมา และบางครั้งก็เจ็บแปลบบริเวณชายโครงขวาร่วมด้วย อาการแน่นท้อง มีลมในท้อง ผมนอนไม่หลับ คิดมาก วิตกกังวล ทำให้ผมปวดหัวมากเพราะมีความเครียดสูง จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังกินยาอยู่เป็นประจำ หมอบอกว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด คิดมาก เรียกว่า โรคประสาทลำไส้ แล้วก็ให้ยามากิน อาการถ่ายดีขึ้น ในช่วง 3 เดือนหลังนี้ผมได้กินยาสมุนไพร คือ ยาต้มด้วย ที่ยังกินอยู่เดี๋ยวนี้ คือ ฟ้าทะลายโจร จากรายละเอียดทั้งหมดนี้ คุณหมอว่าผมเป็นโรคอะไรแน่ จะรักษาให้หายขาดได้อย่างไร

ตอบ
จากรายละเอียดที่เล่ามาทั้งหมด สรุปได้ว่าคุณเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ (gastritis) และลำไส้เล็กส่วนต้น (ที่ต่อกับกระเพาะ) อักเสบ (duodenitis) โดยไม่ได้เป็นแผล (ulcer) โรคนี้มักมีสาเหตุจากความเครียด (ทั้งกายและใจ) เป็นสำคัญ และมักจะเป็นๆ หายๆ เรื้องรังจนกว่าความเครียดจะหมดไป เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการใช้ยาและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

ยาที่ใช้ที่จำเป็น ได้แก่

1. ยาลดกรด เช่น ยาเม็ดมาเจสโต (magesto) ที่คุณใช้อยู่ แต่ทางที่ดีควรใช้ยาชนิดน้ำขาว ได้แก่ อัลมาเจล, อะลั่มมิลก์ เป็นต้น ควรกินครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะหลังอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง และก่อนนอน รวมเป็น 4 มื้อ และสามารถกินเสริมได้ทุกครั้งที่มีอาการปวดท้อง ยานี้ต้องกินประจำทุกวัน ถ้าขาดยาจะปวดอีก จนกว่าคุณจะแน่ใจว่าหายเครียดแล้ว จึงจะหยุดยาได้ บางทีอาจต้องใช้เวลานานหลายๆเดือนหรือเป็นปี

2. ยากล่อมประสาท ช่วยคลายเครียด ได้แก่ ยาเม็ดไดอะซีแพม ขนาด 2 มิลลิกรัม กินหลังอาหารเย็น 1 เม็ด และก่อนนอนอีก 1-2 เม็ด เช้า-กลางวันไม่ต้องกิน

ยาเพียง 2 อย่างนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้อาการของคุณดีขึ้น แต่การจะทำให้โรคหายขาดหรือไม่นั้นขึ้นกับการปฏิบัติของคุณว่าจะทำได้จริงจังหรือไม่ ดังนี้

ก. กินข้าวให้ตรงเวลาทุกมื้อ

ข. งดอาหารเผ็ด น้ำอัดลม ชา กาแฟ บุหรี่ เหล้า ยาแอสไพริน

ค. ออกกำลังกายทุกวันโดยการวิ่งเหยาะ เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น

ง. หลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน ให้ทำจิตใจให้สงบ โดยการยืนหรือนั่งสงบจิตใจหายใจเข้า-ออกยาวๆ สัก 100 ครั้ง แล้วบอกกับตัวเองว่า “เราไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกไม่ช้าก็จะหายได้” หรือจะสร้างความคิดในด้านบวก (positive thinking) โดยวิธีอื่นใดก็ได้

ถ้าสนใจเรื่องสมาธิก็อาจทำสมาธิ ถ้าชอบเรื่องสวดมนต์ก็ขอให้สวดมนต์ด้วยก็จะดี

จ. ระหว่างนี้แม้จะมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องเดิน ปวดหัว เป็นต้น บ้างเป็นครั้งคราวก็อย่าได้วิตกกังวลจนเกินไป

ฉ. ถ้าจะพึ่งหมออยู่อีก ก็ขอแนะนำให้รักษากับหมอคนหนึ่งคนใด การหาหมอที่โรงพยาบาลในอำเภอใกล้ๆ จะสะดวกและประหยัดกว่าไปที่อื่น นอกเสียจากว่าเป็นอะไรหนักหนามาก หมอก็จะส่งต่อไปยังที่อื่นให้

ถาม
โรคมะเร็งในกระเพาะและลำไส้จะตรวจได้โดยวิธีใด และมีวิธีรักษาอย่างไร

ตอบ
การเอกซเรย์กลืนแป้ง และการส่องกล้อง ดังที่คุณได้รับการตรวจมาแล้ว ก็เพียงพอที่จะบอกว่าเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะและลำไส้หรือไม่ การรักษามักจะต้องใช้วิธีผ่าตัด

ถาม
โรคมะเร็งตับและถุงน้ำดีระยะแรกจะตรวจพบได้อย่างไร ที่ไหนบ้าง มีอาการที่สังเกตได้อย่างไร

ตอบ
โรคมะเร็งตับและถุงน้ำดีระยะแรกจะตรวจพบได้ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ และการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดจะตรวจได้ อาการที่สังเกตได้ คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ (5-10 กิโลกรัม ใน 2-4 สัปดาห์) ต่อมาจะมีอาการตาเหลืองและปัสสาวะเหลือง ท้องบวม สุขภาพจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว และไม่มีทางฟื้นตัว

ถาม
ถ้าเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอย่างอื่นหมอจะบอกความจริงแก่คนไข้ไหม

ตอบ
ถ้าเป็นมะเร็งจริง อย่างน้อยหมอจะต้องบอกให้ญาติทราบ ส่วนตัวผู้ป่วยจะบอกต่อเมื่อใจพร้อมที่จะรับสภาพได้ โดยทั่วไปหมอจะไม่นิยมบอกผู้ป่วยโดยตรง

ถาม
เดี๋ยวนี้ผมมีอาการปวดหัวขึ้นมาอีกโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย ขมับ กระบอกตา หน้าผาก ผมเป็นโรคอะไร จะรักษาอย่างไร ตอนนี้ผมหยุดยาแก้ปวดเพราะเกรงว่าจะไปกัดกระเพาะ

ตอบ
อาการปวดหัวเข้าได้กับความเครียด ถ้ากินยาคลายเครียดดังกล่าวในตอนต้นแล้ว ก็ควรจะดีขึ้น

ถาม
ผมเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีและตับหรือไม่

ตอบ
อาการที่คุณเป็นคงไม่เกี่ยวกับโรคตับและถุงน้ำดี เพราะโรคนี้จะมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะเหลืองพร้อมๆ กัน คุณมีปัสสาวะเหลืองเพียงอย่างเดียวไม่เกี่ยว) เป็นสำคัญ นอกจากนี้จะมีอาการอ่อนเพลียมาก หรือปวดท้องมากร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นอยู่เกือบตลอดเวลา

ถาม
ผมมีอาการเหนื่อยและเพลียแต่ยังวิ่งเบาๆ อยู่ ควรวิ่งต่อไปหรือไม่

ตอบ
ถ้าวิ่งแล้วไม่เหนื่อยหรือเพลียมากขึ้น ก็ขอให้วิ่งต่อไป แต่ต้องวิ่งเหยาะ (จ๊อกกิ้ง) ครั้งละ 20-30 นาที อย่าวิ่งเร็วๆ หรือหักโหมจนเกินกำลัง แต่ถ้าวิ่งแล้วกลับเหนื่อยหรือเพลียมากขึ้นก็ไม่ควรทำอีกต่อไป ควรปรึกษาหมอที่รักษาให้แน่ใจ

ถาม
อาการเจ็บแปลบบริเวณชายโครงขวาเกิดจากอะไร ทำอย่างไรจึงจะหาย (หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าเกี่ยวกับลำไส้)

ตอบ
อาการเจ็บแปลบที่ชายโครงขวา ถ้านานๆ เป็นทีก็อาจจะเกี่ยวกับกระเพาะ ลำไส้ แต่ถ้าเป็นบ่อย หรือเป็นแรงขึ้น ก็ควรให้หมอตรวจให้แน่ใจ

ถาม
ทุกวันนี้อารมณ์ทางเพศของผมลดลงมาก เพราะสาเหตุใด

ตอบ
อารมณ์ทางเพศลดลง ก็คงเกี่ยวกับความเครียดหรือความวิตกกังวลเป็นสำคัญ ขอให้ปฏิบัติตัวดังที่ได้แนะนำในตอนต้น แล้วจะค่อยๆดีขึ้นเอง รวมทั้งอาการปวดท้อง ท้องเดิน ปวดหัวด้วย

ข้อสำคัญอย่าได้กลัวหรือวิตกกังวลต่อสุขภาพของตัวเองจนมากเกินไป พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ บริหารร่างกายและบริหารจิตสม่ำเสมอ สุขภาพของคุณก็จะฟื้นคืนสู่สภาวะปกติได้