• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ยาแก้โรคภูมิแพ้

ยาแก้โรคภูมิแพ้

คุณแม่ของผมเป็นโรคหืด หมอแนะนำให้กินยาบูราแอส (Bura As) เคยพยายามจะเลิกใช้ยานี้ แต่หยุดกินเพียง 2 วัน จะหอบทันทีและหายใจไม่สะดวก มีวิธีใดบ้างที่จะเลิกใช้ยานี้โดยไม่มีอาการหอบอีก และมียาชนิดอื่นแทนหรือไม่

ผู้ถาม วารินทร์/นครปฐม
ผู้ตอบ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค

ถาม
ผมขอปรึกษาในเรื่องของโรคหืด ที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ของผมดังนี้นะครับ

ประวัติการเจ็บป่วยและการรักษา หญิงไทย อายุ 47 ปี 13 ปีก่อนหน้านี้มีอาการแน่นจมูก เหนื่อยและหอบได้ง่าย จะหอบมากช่วงอากาศชื้นๆ มักจะแพ้อากาศและฝุ่นละออง หรือจำพวกขนสัตว์ก็จะมีอาการแน่นจมูกเช่นกัน อาการหายใจไม่อิ่ม หรือหอบจะรุนแรงมาก หากมีภาวะกระทบกระเทือนจิตใจ เคยรับการรักษาในสถานบริการของรัฐฯ คือ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อาการก็ดีขึ้น แต่เมื่อมีอาการดังกล่าว หรือเหตุอันทำให้หอบก็จะหอบอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยมา

เมื่อ 12 ปีก่อนได้รับการรักษาจากแพทย์คลินิกแห่งหนึ่ง ได้แนะนำให้กินยาบูราแอสซึ่งมีตัวยาดังนี้ คือ เพร็ดนิโซโลน 2 มิลลิกรัม คลอร์เฟนิรามีน 2 มิลลิกรัม ทีโอฟิลลีน 24 มิลลิกรัม ครั้งแรกให้กินครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร จากนั้นพยายามจะลดปริมาณให้น้อยลง คือ ตอนนี้กินครั้งละครึ่งเม็ด ครั้งเดียวก่อนนอน ก็ไม่มีอาการหอบเหนื่อย หรือหายใจไม่อิ่มอีก เคยพยายามจะเลิกใช้ยานี้ คือ บูราแอส แต่เมื่อไม่ได้กินเพียง 2 วันจะหอบทันที และหายใจไม่สะดวก จึงไม่กล้าจะเลิกอีก ต้องจำใจกินยากันต่อไป

ผมขอเรียนถามดังนี้ครับ

มีวิธีใดบ้างสามารถจะเลิกใช้ยานี้ได้โดยไม่มีอาการหอบและหายใจไม่อิ่มอีก

ถ้ายาชนิดนี้หมดไม่มีขายในท้องตลาด และยังจำเป็นจะต้องกินยาอยู่อีก สามารถใช้ยาชนิดใดแทนได้บ้าง เคยใช้ยาชนิดพ่นในบริเวณลำคอแต่ไม่ได้ผล ไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้

ตอบ
จากอาการของคุณแม่ของคุณที่เล่ามาให้ฟัง คงจะบอกได้ว่าท่านเป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบและหืดจากภูมิแพ้ ซึ่งถ้าไปทดสอบก็คงจะพบว่า แพ้ฝุ่นบ้านและขนสัตว์เป็นอย่างน้อย

สำหรับยาบูราแอสที่กำลังกินอยู่เพียงคืนละครึ่งเม็ดตามที่เล่ามาให้ฟังนั้น ประกอบด้วยยาครอบจักรวาล หรือเพร็ดนิโซโลน ซึ่งได้ผลดีทั้งในการรักษาโรคเยื่อบุจมูกอักเสบและหืด ร่วมกับยาแก้แพ้ (คลอร์เฟนิรามีน) และยาขยายหลอดลม (ทีโอฟิลลีน) ซึ่งคงจะมีอยู่เม็ดละ 240 มิลลิกรัม คงไม่ใช่ 24 มิลลิกรัม ตามที่บอกมาซึ่งน้อยไปหน่อย จึงไม่แปลกใจที่กินคืนละเพียงครึ่งเม็ดก็สามารถระงับอาการน้ำมูกไหล และหอบหืดซึ่งมักจะมีอาการตอนดึกๆ หรือตอนตื่นนอนเช้าได้

ที่ถามมาว่า จะเลิกใช้ยานี้หรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นได้อย่างไร แสดงว่าคงจะกลัวว่าถ้ากินยาจำพวกเพร็ดนิโซโลนไปนานๆ จะไปกดต่อมหมวกไตหรือทำให้อ้วน หนวดเคราขึ้น กระดูกผุ หรือกระเพาะอาหารเป็นแผล เป็นต้น แต่ด้วยขนาดของเพร็ดนิโซโลนเพียง 1 มิลลิกรัมในบูราแอสเพียงครึ่งเม็ดที่กินวันละครั้งเดียวแม้จะเป็นกลางคืนก็ตาม ก็ไม่ควรจะทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว เพราะขนาดที่จะกดต่อมหมวกไตและทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้จะต้องเกินวันละ 7.5 มิลลิกรัมขึ้นไป ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนเป็นยาอื่นมากนัก แต่ถ้ายังไม่สบายใจกับการที่ต้องใช้เพร็ดนิโซโลน หรือในกรณีที่ยานี้เกิดไม่มีขายในท้องตลาด ยาที่ควรจะนำมาใช้ทดแทน ก็คือ

1. ยาขยายหลอดลม ซึ่งอาจเป็นยาในกลุ่มทีโอฟิลลีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน 12-24 ชั่วโมง เช่น ทีโอเดอร์ (Theo-Dur) ขนาด 200 มิลลิกรัม กินก่อนนอนครั้งเดียว แต่ถ้ามีอาการในช่วงกลางวันด้วย อาจต้องกินเช้า 1 เม็ด และก่อนนอนอีก 1 เม็ด

ยาขยายหลอดลมอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ พวก ß2 บริคานิล (Bricanyl) หรือเวนโทลิน (Ventolin) ซึ่งมีทั้งชนิดกินและชนิดที่สูดเข้าไปทางปาก โดยกิน 1 เม็ด หรือพ่น 2 บีบก่อนนอน ที่บอกว่าพ่นยากลุ่มนี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นเพราะว่าพ่นไม่ถูกวิธี หรือรอจนอาการมากเกินไปแล้วจึงพ่น ทำให้ได้ผลไม่ค่อยดีนัก การใช้ยากลุ่มนี้อาจได้ผลเพียง 4-6 ชั่วโมง ใกล้สว่างอาจมีอาการอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ก็อาจใช้ยาที่ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น เช่น เม็ปทิน (Meptin) ชนิดเม็ดเป็นต้น

2. ยาจำพวกสตีรอยด์อย่างสูด เช่น บีโคไทด์ (Becotide) หรือพัลมิคอร์ต (Pulmicort) คงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ไปพร้อมกันกับยาในกลุ่มแรกสำหรับผู้ป่วยรายนี้ เพราะกินเพร็ดนิโซโลนมานานแล้ว ถ้าจะหยุดเพร็ดนิโซโลนไปเลย คิดว่าคงจำเป็นที่จะต้องใช้ยาในกลุ่มเดียวกันไปพลางก่อน บีโคไทด์และพัลมิคอร์ต มีตัวยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเพร็ดนิโซโลนแต่ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จึงออกฤทธิ์เฉพาะในหลอดลม ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเหมือนกับเพร็ดนิโซโลน จึงแนะนำให้พ่น 2 บีบก่อนนอนไปสัก 2 สัปดาห์ แล้วลดลงเหลือ 1 บีบก่อนนอนไปอีก 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะหยุดไปเลย และคงไว้แต่ยาขยายหลอดลมเพียงอย่างเดียว

หลังจากที่ใช้ยาขยายหลอดลมเพียงอย่างเดียวสัก 2 สัปดาห์ ถ้ายังดีอยู่ อาจลดขนาดยาลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ถ้ายังดีอยู่ก็อาจลองหยุดยาไปทั้งหมด โดยต้องมียาขยายหลอดลมชนิดพ่น เช่น บริคานิลหรือเวนโทลินชนิดสูดพ่นติดตัวไว้ตลอดเวลา ถ้ามีอาการไอหรือจุกแน่นจะได้สูดพ่นเข้าทางปาก 2 บีบทุก 4 ชั่วโมงทันที

3. ในกรณีที่ใช้ยาตามที่แนะนำแล้ว อาการไอและแน่นหน้าอกอาจจะดีขึ้น แต่อาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหลตอนเช้าๆ อาจมากขึ้น เนื่องจากหยุดเพร็ดนิโซโลนและคลอร์เฟนิรามีนในบูราแอสที่เคยกินอยู่เดิม ก็อาจต้องใช้ยาแก้แพ้ หรือยาลดน้ำมูก เช่น คลอร์เฟนิรามีน 4 มิลลิกรัม หรือไดมีแทป (Dimetapp) 1 เม็ดก่อนนอนด้วย เพื่อควบคุมอาการทางจมูก

4. ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นอาจต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาใช้ยาตัวอื่นร่วมไปด้วย เช่น ยาสูดพ่นจำพวกอะโทรพีน ยากันแพ้ เช่น คีโทติเฟน (ketotifen) หรือ โครโมลินโซเดียม (chromolynsodium) หรืออาจต้องทดสอบภูมิแพ้และพิจารณาฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นต้น