• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง


หลังจากที่คุณได้รู้จักกับ “โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ” ในฉบับก่อนไปแล้วนั้น คงจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ กระจ่างมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ

และสำหรับคอลัมน์โรคน่ารู้ฉบับนี้ เราจะพูดถึง “โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง” ต่อเนื่องกันไปให้ครบถ้วน
สุภาพสตรีคนหนึ่งลองซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อใหม่มาใช้ ได้ฟังโฆษณากรอกหูอยู่ทุกวันว่า ใช้แล้วจะทำให้หน้าตาผิวพรรณผุดผ่อง มองดูอ่อนกว่าวัย แต่พอใช้ไปได้สักอาทิตย์ปรากฏว่าผิวหน้าบวมเห่อขึ้นมาในขณะที่เพื่อนบางคนใช้แล้วไม่เห็นเป็นอะไร
หรือบางคนกินยาแอสไพรินหรือยาจำพวกแก้ปวดทั้งหลายไม่ได้เลย กินเข้าไปครั้งใดเป็นต้องเกิดปฏิกิริยาผิดแปลกขึ้นมาทุกครั้งไป เช่น เป็นผื่นลมพิษ มีอาการคันไปทั้งตัว เป็นต้น

ตัวอย่างข้างต้นคือ อาการของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังประเภทหนึ่ง
โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังมีหลายประเภท และสาเหตุก็แตกต่างกันไป ซึ่งในฉบับนี้ รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงพัชรี สุนทรพะลิน จากสาขาโรคภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ท่านจะพูดอธิบายถึงชนิดและสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง และการดูแลรักษาให้เราทราบกัน


⇒ อาการเตือนเราว่า อาจเป็นโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังเป็นอย่างไร
เมื่อเรามีอาการผื่นคัน เป็นๆหายๆอยู่เสมอๆ ก็ให้สังเกตตนเองว่า ก่อนเป็นผื่นเรากินอะไร อาจเป็นอาหารหรือยา หรือทายา แล้วผื่นขึ้นมาแสดงว่าอาจมีความผิดปกติของร่างกายเป็นโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังได้


⇒โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังมีอะไรบ้าง
อาจจะแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆคือ
1. ลมพิษ
2. ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis)
3. ผื่นแพ้ยา
4. ผื่นภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) ที่เกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น โรคหืด


⇒สาเหตุของลมพิษเกิดจากอะไร
คนเป็นลมพิษนั้น สาเหตุใหญ่มี 3 พวก คือ

พวกแรกไม่ได้เกี่ยวกับการแพ้สารก่อภูมิแพ้ เช่น ได้รับยาบางอย่าง (เช่น แอสไพริน , Thiamine) ที่มีฤทธิ์ไปกระตุ้นเส้นเลือดใต้ผิวหนังให้ขยายตัว ทำให้เกิดผื่นนูน เป็นลมพิษได้

พวกที่ 2 คือ กลุ่มที่เกิดอาการแพ้ โดยคนไข้ต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไป พวกสารก่อภูมิแพ้นี้จะไปทำให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านขึ้นมาเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้และสารต่อต้าน ทำให้เกิดการกระตุ้น Mast cell ให้หลั่งฮิสตามีนออกมา และฮิสตามีนก็จะไปกระตุ้นให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว เป็นผื่นนูน คัน สารก่อภูมิแพ้นี้ได้แก่ อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล และสารที่เราหายใจเข้าไป เช่น เกสร หญ้า ฝุ่น และสารที่มาสัมผัสกับผิวหนัง เช่น น้ำลายสุนัข ใยไหม ความเย็น

พวกที่ 3 คือ พวกที่ไม่ทราบกลไกที่แน่นอน เช่น การติดเชื้อบางอย่างก็อาจมีปฏิกิริยาออกมาในรูปของลมพิษได้ เช่น ฟันผุ มีพยาธิในลำไส้ หรือเกิดจากภาวะจิตใจเคร่งเครียด หรือ บางคนพอเจออากาศร้อนจัด จะมีเหงื่อออกมาพร้อมกับอาการลมพิษ


⇒ ลักษณะของผื่นลมพิษ แตกต่างกับผดอย่างไร
ผื่นลมพิษเป็นตุ่มนูนแดง มีอาการคัน ลักษณะคล้ายตุ่มยุงกัดหรือมดกัด ขึ้นกระจายไปทั่วร่างกาย ตุ่มเหล่านี้จะขยายเป็นปื้นหนา บางตุ่มอาจเล็ก จับดูจะรู้สึกร้อนและคันมาก เมื่อผื่นหายแล้วจะปรากฏเป็นผิวหนังปกติ
บางคนอาจดูไม่ค่อยเป็นระหว่างผดกับผื่นลมพิษ อันนี้สังเกตได้ไม่ยาก เพราะส่วนมากแล้วผดจะขึ้นในช่วงอากาศร้อนจัด ลักษณะของผดจะเป็นตุ่มเล็กๆมารวมตัวกัน เมื่อเอามือลูบดูก็จะรู้สึกคล้ายเม็ดทรายละเอียด พวกนี้ถ้าเป็นน้อยๆจะหายไปเอง หรือถ้าเป็นมากก็อาจจะเหลือเป็นผื่นบางๆบนผิวหนัง


⇒ ลมพิษมีโอกาสเป็นกับทุกคนหรือไม่
เป็นได้ ตามสถิติของต่างประเทศพบว่า 30% ของคนจะเคยเป็นลมพิษอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
ถ้าเป็นลมพิษที่เนื่องมาจากอาการแพ้เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปนั้น ก็ไม่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคน เช่น คนที่แพ้กุ้ง เวลากินกุ้งทีไรจะเป็นผื่นลมพิษทุกครั้ง ซึ่งเป็นเพราะว่าเขามีภูมิคุ้มกันตอบสนองผิดปกติต่อสารในกุ้งซึ่งบุคคลทั่วไปไม่เป็นอะไร
บางคนถ้าแพ้มากอาจเกิดผื่นขึ้นภายใน 15-20 นาที แต่ส่วนมากแล้วมักไม่เกิน 12 ชั่วโมง ขึ้นกับว่าจะมีการแพ้มากหรือน้อย


⇒ถ้าเป็นลมพิษจะช่วยตัวเองเบื้อต้นได้อย่างไร
ถ้าเป็นลมพิษโดยไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เราก็อาจใช้ยาทาแก่ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ทาบริเวณผิวหนัง กินยาต้านฮิสตามีน เช่น คลอร์เฟนิรามีน 1 เม็ด กิน 3 เวลาหลังอาหาร แต่ต้องระวัง กินยานี้แล้วอาจทำให้ง่วง ไม่ควรซื้อยาพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ มากินเอง เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อน ทำให้เป็นเบาหวาน แผลในกระเพาะ และความดันโลหิตได้
และพยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ตนแพ้ ถ้ายังไม่ทราบว่าแพ้อะไรก็ควรปรึกษาแพทย์ แต่ถ้าเป็นลมพิษและมีอาการแน่นอึดอัด หายใจลำบากด้วย ควรรีบไปพบแพทย์


⇒ ชาวบ้านใช้ใบพลูตำแล้วผสมกับเหล้าใช้ทาผื่น และห้ามถูกลมจะใช้ได้หรือไม่
ที่เขาสั่งห้ามถูกลมนั้นเพราะว่าเมื่อลมปะทะผิวหนังอาจจะไปกระตุ้นเซลล์พิเศษใต้ผิวหนังให้หลั่งฮิสตามีนออกมา ซึ่งจะทำให้เกิดผื่นคันมากขึ้น ส่วนการเอาใบพลูตำผสมเหล้าทาก็อาจใช้ได้ เนื่องจากเหล้ามีแอลกอฮอล์ เวลาระเหยทำให้เย็น
ใบพลูนั้น ฤทธิ์ที่แท้จริงยังไม่ทราบ ทางแพทย์กำลังศึกษาดูว่า จะมีฤทธิ์ของยาชาอยู่ด้วยหรือไม่


⇒ ลมพิษจัดอยู่ในประเภทอันตรายหรือไม่
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เป็น ถ้ารุนแรงมาก เช่นบางคนแพ้ไก่ พอกินเข้าไปจะรู้สึกคันในคอ หายใจลำบาก ต้องรีบกินยาเพราะอาจหายใจไม่ออก เสียชีวิตได้ แต่ถ้าเป็นเฉพาะที่ผิวหนังก็ไม่จัดว่าอันตราย
นอกจากนั้นลมพิษเป็นความผิดปกตชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจพบร่วมกับความผิดปกติส่วนอื่นของร่างกายก็ได้ เช่น เรื่องฟันผุ พยาธิในลำไส้ หรือไวรัสลงตับ โดยที่ก่อนที่คนไข้จะมีอาการเหลือง หรือมีอาการติดเชื้อที่ไหน คนไข้อาจมีอาการลมพิษแสดงออกมาก่อน ซึ่งแสดงว่า การอักเสบนั้นอาจเป็นตัวการปล่อยสารที่กระตุ้นเส้นเลือดได้ ในคนสูงอายุที่เป็นลมพิษเรื้อรัง ควรสืบค้นหาโรคมะเร็งด้วย
ดังนั้น ลมพิษจึงเป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอกให้รู้ถึงโรคภายในหลายๆอย่างก็ได้


⇒ คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเมื่อเป็นลมพิษตอนเด็กแล้ว พอโตขึ้นจะไม่เป็นอีก
ถ้าเป็นลมพิษที่เนื่องมาจากส่วนหนึ่งของอาการแพ้ที่เป็นกรรมพันธุ์ (atopy) เช่น พวกหอบหืด พวกแพ้ละอองฟาง และผื่นภูมิแพ้ที่เกิดร่วมกับทางเดินหายใจ ลมพิษแบบนี้จะเป็นในลักษณะเรื้อรัง เป็นตอนเด็กแล้วเมื่อโตขึ้นก็เป็นอีกได้ มักจะเป็นๆหายๆขึ้นอยู่กับว่าจะหลีกเลี่ยงสาเหตุได้มากน้อยแค่ไหน


ผื่นแพ้สัมผัสมีลักษณะอย่างไร
ผื่นแพ้สัมผัส คือ อาการที่ผิวหนังเกิดอักเสบขึ้นมาเนื่องจากไปสัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น เครื่องสำอาง คนทั่วไปใช้ได้ไม่เป็นอะไร แต่คนที่แพ้เวลาใช้จะมีผื่นแดง ผื่นพวกนี้จะละเอียดและคัน จะขึ้นผื่นอยู่นานเป็นวัน บางคนอาจแพ้น้ำหอม แพ้ยาย้อมผม ที่พบมากในเวลานี้คือ มักจะแพ้นิเกิลที่ผสมอยู่ในเครื่องประดับ ตำแหน่งใดที่สัมผัสก็จะมีผื่นขึ้น
ลักษณะของผื่นจะคล้ายทรายละเอียด คัน และต่อมาอาจจะลอก ถ้าเป็นนานๆ เช่น คนแพ้ตุ้มหูจะมีผื่นหนาและมีสีคล้ำขึ้น หากยังไม่หยุดใส่ มีอาการแพ้มากขึ้นก็จะมีน้ำเหลืองซึมออกมาด้วย ผื่นพวกนี้จะเป็นเฉพาะที่ และอยู่นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน


⇒ คนที่แพ้เครื่องสำอาง นานเท่าไรจึงจะปรากฏอาการแพ้
เครื่องสำอางเป็นสารที่ค่อนข้างปลอดภัย พวกนี้จึงต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป บางคนอาจใช้เป็นปีจึงปรากฏอาการ ไม่เหมือนสารบางอย่าง เช่น ยาเพนิซิลลิน หรือซัลฟา ซึ่งเป็นสารที่ไวเวลาแพ้แล้วแสดงอาการเร็ว


⇒ ผู้ป่วยจะช่วยตัวเองอย่างไร
อย่าไปสัมผัสกับสิ่งที่แพ้ อาการก็จะหายไปหรือทายาแก้ ผื่น คัน จำพวกครีม คอร์ติโคสเตียรอยด์ และกินยาต้านฮิสตามีน ถ้าไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์ แพทย์จะตรวจว่า แพ้สารชนิดใด เช่น ถ้าแพทย์สงสัยว่าแพ้นิเกิล ก็จะเอาสารทดสอบมาปิดไว้บนหลังผู้ป่วย อ่านผลภายใน 48 ช.ม. ถ้าคนที่แพ้จะปรากฏเป็นผื่นแดง คัน บริเวณที่ทดสอบด้วยสารนั้น


⇒ ผื่นแพ้ยาที่พบ โดยทั่วไปผู้ป่วยแพ้ยาประเภทใด
ที่พบมากอันดับ 1 คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน แอมพิซิลลิน ซัลฟา
รองลงมาคือ พวกยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดเมื่อย


⇒ ลักษณะอาการแพ้ยาเป็นอย่างไร
อาการผื่นแพ้ยาที่พบบ่อยคือ
1. คล้ายหัด มีผื่นคันขึ้นทั้งตัว
2. ออกมาในรูปลมพิษ
3. อาจมีตุ่มน้ำพองใส หรือมีน้ำเหลืองอยู่ภายใน
4. อาการรุนแรงจะลอกทั้งตัวเหมือนถูกน้ำร้อนลวก


⇒ ผู้ป่วยจะต้องใช้ยานานเท่าใดจึงจะปรากฏอาการ

ถ้าเป็นครั้งแรกที่ได้รับยา อย่างน้อยก็ 6 วัน แต่ถ้าเคยได้รับมาก่อนแล้ว ครั้งหลังอาจจะเกิดขึ้นภายใน 12-48 ช.ม. แต่คนที่แพ้ยาชนิดที่มีอาการรุนแรง มักเกิดภายหลังจากกินยาเข้าไปประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นยาฉีดอาจเกิดอาการขึ้นทันทีหรือภายใน 2-3 นาทีหลังฉีดยา
ที่น่ากลัวคือ การแพ้ยาที่มีอาการทางระบบอื่นร่วมด้วย เช่น พวกที่ไปฉีดยาแล้วมีอาการหายใจลำบาก อาจเป็นลมหน้ามืด และช็อก พบในพวกที่ฉีดยาแก้บาดทะยัก ยาเพนิซิลลิน บางคนหลังฉีดยาแล้วอาจเกิดอาการภายใน 15 นาที

คนไข้ที่แพ้ยาส่วนมากมีอายุ 30 ปี ขึ้นไป ผู้หญิงจะพบได้บ่อยกว่าอาการผื่นแพ้ยามักไม่ค่อยพบในเด็ก เพราะเด็กมักไม่ค่อยได้รับยา เช่นเดียวกับอาการผื่นแพ้สัมผัส ส่วนมากเด็กจะเป็นมากในกลุ่มโรคภูมิแพ้ที่เกิดร่วมกับโรคทางเดินหายใจโดยทั่วไปเมื่อ เวลากินยาแล้วปรากฏอาการของฤทธิ์แทรกซ้อน เช่น มีผื่นขึ้นมาหรือคลื่นไส้จะต้องหยุดยาทันที และควรมาพบแพทย์ตอนที่กำลังมีอาการแพ้อยู่
คนที่แพ้ยาอย่างหนึ่งแล้ว ถ้ากินยาที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายกันก็อาจจะแพ้ด้วย เช่น ใครแพ้เพนิซิลลินก็มีโอกาสจะแพ้แอมพิซิลลินได้มาก หรือคนที่แพ้แอสไพริน ก็มักจะแพ้ยาแก้ปวดข้อ ปวดกระดูกอีกหลายชนิด อาการก็มักจะออกมาในรูปเดียวกัน


⇒ ถ้าเป็นผื่นแพ้ยาจะรักษาตนเองเบื้องต้นอย่างไร
ถ้าไม่รุนแรงมีอาการคล้ายหัดก็ให้หยุดยา กินยาต้านฮิสตามีนก็หาย แต่ถ้าเป็นผื่นแพ้ยาแบบลมพิษ หรือชนิดที่รุนแรงก็ควรพบแพทย์ เพื่อแพทย์และคนไข้จะได้ทราบว่าแพ้อะไร เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการอีก และรักษาอาการที่เกิดขึ้นตามความรุนแรงที่ปรากฏ


⇒ ผื่นภูมิแพ้แบบที่เรียกว่า Atopic dermatitis มีลักษณะอย่างไร
ลักษณะเป็นการอักเสบของผิวหนัง อยู่ในกลุ่มที่เราเรียกว่า Eczema อาจจะมีเพียงแค่ผื่นแดงคัน หรือมีน้ำเหลืองซึมและจะเกิดเป็นสะเก็ด มักจะเริ่มตั้งแต่เด็ก ที่เราเรียกว่า กลากน้ำนม พอโตขึ้นมาผื่นพวกนี้จะพบตามซอกแขน คอ ข้อพับขา ซึ่งมักจะพบร่วมกับคนที่เป็นหืดจากการแพ้ หรือพวกที่เป็นภาวะจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)
พวกนี้จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็น เช่น พ่อเป็นหืด ลูกอาจเป็นอาการภูมิแพ้ทางผิวหนังร่วมกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ หรือหลานอาจเป็นจมูกอักเสบได้


⇒ จะมีอาการรุนแรงหรือไม่
ถ้าเป็นมาก เด็กที่เป็นจะมีผิวหนังแห้งมาก หน้าหนาวก็คันง่าย พอถึงหน้าร้อนผดก็ขึ้นง่าย เมื่อเป็นมากๆต้องใช้ยา มักเริ่มเป็นตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน เมื่อเด็กอายุ 2 ขวบ อาจจะดีขึ้นได้ และโตขึ้นมาก็อาจหายได้ คนที่เป็นผื่นแพ้ประเภทนี้จะหายลำบาก เพราะสารที่ทำให้แพ้เป็นของที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ ไร ขนสัตว์ กลุ่มคนพวกนี้จึงมีโอกาสแพ้ได้บ่อยกว่ากลุ่มอื่น


โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่กล่าวมาทั้ง 4 ประเภทนี้ ประเภทใดรุนแรงมากที่สุด และประเภทใดพบบ่อยที่สุด
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละคนผื่นแพ้สัมผัสจะมีอาการเบากว่าเพราะเกิดเฉพาะที่และไม่มีอาการทางระบบอื่นร่วมด้วยลมพิษถ้าเกิดเฉพาะที่ผิวหนังก็ไม่รุนแรงมาก แต่จะรุนแรงมากถ้าเกิดร่วมกับพวกที่มีอาการแพ้แบบเฉียบพลัน (Anaphylazis) ซึ่งมีอาการแน่นอึดอัด หายใจลำบาก ชีพจรเบา ช็อก ความดันต่ำ พวกนี้มักจะเกิดจากการแพ้ยาที่พบบ่อยคือ ผื่นแพ้สัมผัส รองลงมาลมพิษ ต่อมาก็ผื่นแพ้ยาและผื่นภูมิแพ้


ถ้าพูดรวมๆ อาจารย์จะแนะนำวิธีการรักษา ป้องกันตัวเองจากโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังทั่วๆไปว่าควรทำอย่างไรคะ
ก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่รู้ว่าทำให้ตัวเองแพ้ ซึ่งบางครั้งก็เป็นไปได้ยากมาก นอกจากผื่นแพ้สัมผัสซึ่งหลีกเลี่ยงง่าย ถึงอย่างไรอันดับแรกก็ระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ หมั่นออกกำลังกาย
ถ้าได้พยายามรักษาตัวเอง หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้แล้ว ยังมีอาการอยู่ก็กินยาตามที่ได้แนะนำไว้ ไม่ดีขึ้นก็ควรพบแพทย์จะได้ทำการรักษาและหาทางรักษาให้ถูกต้องต่อไป