Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » การตรวจสุขภาพตา
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

การตรวจสุขภาพตา

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2550 00:00

Q อยากทราบว่าในคนปกติจำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำหรือไม่ หรือในกรณีใดจึงต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตา

รัชดาภรณ์ ตันติมาลา

A การตรวจสุขภาพตาจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถตรวจพบความผิดปกติของตาได้ตั้งแต่ในระยะต้น ซึ่งอาจสามารถทำให้ได้รับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อปล่อยให้เป็นโรคตาในระยะรุนแรง แนวทางการตรวจสุขภาพตาที่แนะนำได้แก่

- สังเกตลูกของเราด้วยตัวเราเอง ถ้ามีลักษณะลูกตาผิดปกติ ตาเข หรือเด็กไม่จ้องหน้า มองกระดานไม่ชัด ชอบหยีตามองหรือเอียงคอมอง และในเด็กเล็กควรทดสอบใช้มือบังตาเด็กทีละข้าง (ไม่ต้องถูกตาเด็ก) ถ้าเด็กปัดหรือร้องเวลาบังตาข้างใดข้างหนึ่งเสมอ อาจเกิดจากตาอีกข้างที่เปิดอยู่มองไม่เห็น กรณีมีข้อสงสัยเหล่านี้ ควรพาไปพบจักษุแพทย์

- ถ้ามีอาการตามัวลง หรือตาแดง หรือปวดตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อการตรวจตาหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง

- ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อเฝ้าระวังโรคาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และรักษาให้สายตากลับคืนมาไม่ได้ด้วย

- ผู้ที่เป็นต้อหินต้องหยอดยาตามแพทย์สั่งและไปตรวจตามแพทย์นัด อย่าขาดการรักษาเพราะต้อหินเป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วตาจะบอดได้

- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ควรตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่พบว่าเป็นเบาหวาน รวมทั้งคนเป็นเบาหวานที่ตั้งครรภ์ต้องไปตรวจจอประสาทตาทันที ถ้าพบมีเบาหวานขึ้นตามาก การยิงเลเซอร์ที่จอประสาทตาอาจจะช่วยให้ในระยะยาวมีสายตาที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ยิงเลเซอร์ แต่ไม่ได้ทำให้สายตาเห็นชัดขึ้น ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี

ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


โรคแผลในกระเพาะ
Q พี่ชายอายุ 55 ปี ปวดท้องเหมือนเป็นโรคกระเพาะ ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ส่องกล้องแล้ว แพทย์บอกว่ามีแผลในกระเพาะ ต้องกินยาฆ่าเชื้อและยาลดกรด กินยามาได้สองสัปดาห์แล้ว อาการดีขึ้น แต่แพทย์บอกว่าให้ไปส่องกล้องดูอีกที อยากเรียนถามว่า ถ้าอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปได้หรือไม่คะ และต้องกินยานานแค่ไหนแผลในกระเพาะถึงจะหาย?

ปิยะดา พูลสวัสดิ์

A ปัญหาของการรักษาแผลในกระเพาะที่ แพทย์ทางระบบทางเดินอาหาร หรือศัลยแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยกังวล ก็คือ ต้องแยกให้ได้ว่าไม่มีแผลในกระเพาะอาหารที่มีลักษณะเหมือนกับมะเร็งกระเพาะอาหาร (gastric cancer) อยู่ด้วย นอกจากนี้แพทย์ผู้ดูแลจะซักประวัติและตรวจร่างกาย เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผล และให้คำแนะนำเพื่อกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้แผลไม่หาย และตรวจหาโรคอื่นที่อาจมีอาการปวดท้องคล้ายโรคกระเพาะได้ เช่น นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

โดยทั่วไปแล้วเมื่อแพทย์ผู้ดูแลบอกว่าเป็นแผลในกระเพาะ อาจพบแผลได้สองตำแหน่ง คือ แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer) หรือแผลในกระเพาะอาหารจริงๆ (gastric ulcer) สำหรับแผลทั้งสองแห่งนี้ ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหาร (Helicobacter pylori) ร่วมด้วย แพทย์ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ร่วมไปกับยาลดกรด (H. pylori eradication) การที่แพทย์ให้ไปส่องกล้องตรวจซ้ำ ก็ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการคือ

1. ต้องการดูให้แน่ใจจริงๆ ว่าแผลในกระเพาะอาหารนั้นดีขึ้น และมีลักษณะว่าแผลหายในเวลาอันเหมาะสม เพราะบางครั้งแผลไม่หายแต่ก็ไม่มีอาการได้ และ

2. สำหรับกลุ่มที่รักษาด้วยยาลดกรดแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์มักจะต้องตรวจชิ้นเนื้อที่ขอบแผลซ้ำ เพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่แผลจากมะเร็ง

สำหรับแผลที่อยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยทั่วไปไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง จึงไม่จำเป็นต้องส่องกล้องตรวจซ้ำเพื่อดูว่าแผลหายหรือไม่. ดังนั้นแพทย์จึงใช้อาการของผู้ป่วยเป็นหลักในการติดตามผลการรักษา ยกเว้นกรณีที่ไม่ดีขึ้น จึงจะพิจารณาส่องกล้องตรวจซ้ำ

ดังนั้นในกรณีนี้ แนะนำว่าคงต้องไปส่องกล้องตรวจซ้ำตามที่แพทย์ผู้ดูแลแนะนำ สำหรับการให้ยาลดกรดเพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร จะให้ยานานประมาณ 4-8 สัปดาห์ครับ

วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ.
ศัลยแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

 

ป้ายคำ:
  • ระบบทางเดินอาหาร
  • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • โรคตามระบบ
  • โรคหู ตา คอ จมูก
  • คุยสุขภาพ
  • ดูแลสุขภาพ
  • ถาม-ตอบผ่าน website
  • โรคแผลในกระเพาะ
  • นพ.วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา
  • นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์
  • อ่าน 3,723 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้
Skip to Top

คำถามสุขภาพ

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • อื่น ๆ

  • สนับสนุนสื่อสุขภาพออนไลน์หมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • คำแนะนำสำหรับประชาชน เรื่อง โรคจากเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลชนิดรุนแรง
  • ผ่าตัดฟรีสำหรับเด็ก ที่เป็นโรคหัวใจ
  • สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.)

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบัน ChangeFusion พัฒนาระบบโดย Opendream สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa