โรคต้อหิน
Q อยากทราบว่าโรคต้อหินเกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีการป้องกันหรือรักษาอย่างไร
รัชดาภรณ์ ตันติมาลา
A สาเหตุของโรคต้อหินส่วนใหญ่เกิดขึ้นเอง หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- หยอดยาประเภทสตีรอยด์เป็นประจำ.
- มีการอักเสบเรื้อรังของลูกตา.
- สาเหตุอื่นๆ เช่นอุบัติเหตุที่ตา, ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน.
การรักษาต้อหินจะไม่สามารถทำให้เซลล์ประสาทตาที่เสียไปแล้วคืนกลับมาได้ แต่เป้าหมายของการรักษาคือไม่ให้สายตาเสียไปมากกว่านี้. ดังนั้นถ้ามีอาการปวดตาและโดยเฉพาะถ้ามีตาแดงร่วมด้วยให้รีบไปตรวจตา. ส่วนผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติคนเป็นต้อหินครอบครัว จะมีโอกาสเป็นต้อหินได้มากกว่าคนทั่วไป.
ในปัจจุบันการรักษาต้อหินจะเพื่อให้ความดั ลูกตาลดลง โดยการทำให้การสร้างน้ำหล่อเลี้ยงใน ลูกตาลดลง หรือทำให้การระบายน้ำออกจากลูกตาดีขึ้น หรือทั้งสองอย่าง. การรักษาจะแบ่งเป็น 3 วิธี คือ
1. ยาลดความดันตา มีทั้งชนิดกิน และยาหยอดตา.
2. การยิงแสงเลเซอร์.
3. การผ่าตัด.
การจะรักษาโดยวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินและผลของการรักษาในขณะนั้น โดยมีการประเมินและการตัดสินใจร่วมกันของจักษุแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้จะต้องไปติดตามการรักษาตามนัด และใช้ยาตามที่จักษุแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะตาบอดจากโรคต้อหิน ซึ่งจะไม่สามารถทำให้กลับมาเห็นดีขึ้นได้อีกเลย.
ยาหยอดตาประเภทสตีรอยด์
ข้อแนะนำในการป้องกันตาบอดจากโรคต้อหิน
1. เมื่อมีอาการผิดปกติกับตา ห้ามซื้อยาหยอดตามาหยอดเอง เพราะถ้าได้ยาหยอดตาประเภท สตีรอยด์ อาจทำให้เกิดโรคต้อหิน ทำให้ตาบอดได้.
2. ในผู้ที่มีอายุมากว่า 40 ปีทุกคนซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหิน, ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน รวมทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินเพิ่มขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน กินยาสตีรอยด์เป็นประจำ ควรไปรับการตรวจสุขภาพตาและวัดความ ดันตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง.
3. ถ้ามีอาการผิดปกติทางตา เช่น ปวดตามากร่วมกับอาการตามัว หรือรู้สึกตึงๆตาควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่ต้น.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลอดเลือดขาตีบ
Q มีญาติอายุ 70 ปี เป็นโรคหลอดเลือดที่ขาตีบ มีแผลที่เท้าด้วย ไปตรวจแล้วแพทย์บอกว่าต้องผ่าตัดบายพาสหลอดเลือด ไม่ทราบว่าจะทำยังไงต่อดี
ปิยะดา พูลสวัสดิ์
A จากข้อมูลที่ให้มา น่าจะเป็นโรคหลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงขาตีบ หรือตัน ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อน คือมีแผลที่เท้าด้วย คงจะต้องประเมินดังนี้ครับ
ประเมินโรคที่มีร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอื่นๆ ถ้ามี.
ประเมินจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้มีภาวะหลอดเลือดแดงตีบหรือตันได้ เช่น การสูบบุหรี่.
ประเมินภาวะหลอดเลือดแดงตีบว่าตีบจริงหรือไม่ ตีบที่ตำแหน่งใด มากน้อยเพียงใด.
ประเมินภาวะของแผลที่ขาว่าเป็นลักษณะของแผลที่เกิดจากการขาดเลือดหรือไม่ มีสาเหตุอื่นๆได้หรือไม่.
โดยแพทย์คงต้องซักประวัติและตรวจร่างกายในระบบที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ได้ข้อสรุปว่าน่าจะเป็นจากหลอดเลือดแดงตีบ และทำให้เกิดลักษณะของแผลขาดเลือดที่เท้าดังกล่าว จะมีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดรักษา หรือที่เรียกว่าทำบายพาส (vascular bypass หรือ revascularization) ดังนี้
1. มีอาการของแผลเน่าตาย (gangrene) จากการขาดเลือด.
2. แผลจากการขาดเลือด ที่รักษาทำแผลแล้วแผลไม่หาย (unhealed ulcer).
3. มีอาการปวดขาและปวดน่องเมื่อเดิน และเป็นลักษณะของอาการปวดจากการขาดเลือด บ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน (disabling vascular claudication).
เมื่อมีข้อบ่งชี้ดังกล่าว ศัลยแพทย์หลอดเลือดจะทำการส่งผู้ป่วยตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูลักษณะของหลอด เลือดแดงที่ตีบ และดูว่าจะมีตำแหน่งใดที่เหมาะสมที่จะนำหลอดเลือดใหม่มาต่อ (bypass) ได้บ้าง โดยอาจส่งตรวจเป็นการฉีดสีหลอดเลือดแดง (angiography) หรือทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือด (CT angiogram) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดูหลอดเลือดแดง (MRA) และก่อนการผ่าตัดจะมีการตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาโรคระบบอื่นๆ ที่มักพบร่วมด้วย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น ซึ่งถ้ามี ต้องรักษาให้ดีเสียก่อนที่จะมาผ่าตัดทางหลอดเลือด ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน.
นอกจากนี้ ศัลยแพทย์จะพิจารณาคุณภาพชีวิตและการใช้งานของอวัยวะที่จะทำการรักษาด้วย เพื่อหวังวัตถุประสงค์สองข้อหลักๆ คือ เก็บอวัยวะ (save limb) และให้ใช้งานได้ดีเหมือนหรือเกือบเหมือนปกติ (save function) สำหรับการตรวจและการผ่าตัดโรคทางหลอดเลือดดังกล่าวสามารถทำได้ในโรงเรียนแพทย์ แทบทุกแห่งที่มีศัลยแพทย์หลอดเลือด
วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ.
ศัลยแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 4,100 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้