Q การวินิจฉัยว่า styloid process ยาว ผิดปกติจนทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ มีแนวทางอย่างไร
สุทธิไกร ไชยยศ
A Styloid process เป็นกระดูกรูปร่างเรียวยาว โค้งเล็กน้อย ออกมาจากกระดูก temporal bone ด้านในต่อ stylomastoid foramen มีความยาวตั้งแต่ 1.5-5 ซม. ความยาวที่ถือว่ายาวกว่าปกติ คือ ยาวมากกว่า 2.5 ซม. แต่ที่สำคัญจะต้องมีอาการร่วมด้วยจึงจะถือว่ามีความผิดปกติ.
Styloid process ที่ยาว จะดันบริเวณ tonsillar fossa หรืออวัยวะบริเวณ neck และ pharynx ทำ ให้เกิดอาการเกี่ยวกับระบบเส้นประสาท หรือหลอดเลือดได้ (Eagles syndrome) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ. ในบางรายจะมีอาการไม่สบายบริเวณลำคอ หลังการผ่าตัดทอนซิล ซึ่งอาจเกิดจาก scar บริเวณปลายของ styloid process ซึ่งอยู่ด้านหลัง ของ tonsillar fossa ทำให้เกิดการระคายบริเวณเยื่อบุลำคอ.
Styloid process ที่ยาว จะมีผลต่อ cranial nerve เส้นที่ 5, 7, 9, 10 หรือ cervical sympathetic nerves ได้ ทำให้มีอาการไม่สบายบริเวณลำคอ (throat discomfort) กลืนเจ็บ มีความรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมระคายบริเวณลำคอ บางครั้งอาจกดบริเวณ carotid artery ทำให้มีอาการปวดศีรษะ ปวดหู และมีเสียงดังในหูได้.
วินิจฉัยโดยการคลำกระดูก styloid process ที่ยาวในปากบริเวณ tonsillar fossa หรือ โดยการ X-ray skull ท่า AP, lateral.
การรักษา ในกรณีที่อาการไม่มาก ให้การรักษาตามอาการ ในกรณีที่มีอาการมากรักษาโดย การผ่าตัดเอา styloid process ที่ยาวผิดปกติออก อย่างไรก็ตาม ในการเลือกผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการผ่าตัด ควรวินิจฉัยแยกโรคให้ดี เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการไม่สบายบริเวณลำคอ (nonspecific pharyngeal complaints) ซึ่งมีสาเหตุจากโรคอื่นๆ อีกหลายโรค.
พิบูล วชิรลาภไพฑูรย์ พ.บ.
โสต ศอ นาสิกแพทย์
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
อาหารเสริมกับดวงตา
Q อยากเรียนถามว่ากรณีเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม การกินอาหารเสริมจะช่วยได้หรือไม่ และถ้าจะกินเพื่อป้องกันจำเป็นหรือไม่
รัชดาภรณ์ ตันติมาลา
A การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายก็สามารถเพียงพอสำหรับสุขภาพที่ดีของตาได้ ในอดีตมีการพูดถึงการกินผักบุ้งซึ่งมีวิตามินเอช่วยบำรุงประสาทตา และปัจจุบันมีการนำเสนอสารอาหาร เช่น lutein และ zeaxanthine ซึ่งเป็นสารที่พบได้ที่จอประสาทตา ในรูปยาบำรุงหลายชนิด อาจให้ผลป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ แต่ยังไม่มีผลจากงานวิจัยขนาดใหญ่รับรองชัดเจน ยกเว้นในคนอายุเกิน 55 ปีที่มีจอประสาทตาเสื่อมปานกลางบ้างแล้ว มีการศึกษาพบว่าการกินยาที่มีสารต้านอนุมูล อิสระ (antioxidants) และสังกะสี ( Zn) จะลดความรุนแรงของโรคได้บางส่วน แต่สำหรับคนที่ยังไม่เป็นโรคนี้หรือเป็นน้อยๆ ไม่มีประโยชน์จากการกินยานี้.
โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD; Age-related Macular Degeneration) โรคนี้จะมีความเสื่อมในจอประสาทตาส่วนกลาง ซึ่งจะพบในผู้สูงอายุ ทำให้ตามัวลงโดยไม่มีอาการเจ็บปวด. นอกจากโรคต้อกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุตามัวในผู้สูงอายุซึ่งรักษาได้แล้ว โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ ยิ่งอายุมากยิ่งมีโอกาสจะเป็นโรคนี้มาก. ลักษณะตามัวจะมัวตรงกลางของลานสายตาซึ่งทำให้มีปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น การอ่านหนังสือและการขับรถ.
ปัจจัยที่จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้คือ
1. อายุมาก เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด จากการศึกษาในต่างประเทศ วัยกลางคนจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 2 แต่ความเสี่ยงจะ เพิ่มเป็นกว่าร้อยละ 20 ในคนอายุมากกว่า 75 ปี.
2. การสูบบุหรี่.
3. ความอ้วน.
4. เชื้อชาติ คนผิวขาวมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุมากกว่าคนเอเชียและคนผิวดำ.
5. ประวัติในครอบครัว ผู้ที่มีประวัติคน ในครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น.
6. เพศ พบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย.
อาการเริ่มแรกของโรคนี้คือ จะเห็นภาพไม่ค่อยชัดหรือเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นบิดเบี้ยวไป ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าวควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจจอประสาทตา เพื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- อ่าน 5,446 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้