เวลาของการใช้ทุนของแพทย์เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตแพทย์..... บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการไปใช้ทุนในชนบทของนักศึกษาแพทย์ และเป็นกำลังใจแก่แพทย์จบใหม่ที่กำลังทำงานอย่างหนัก ในโรงพยาบาลชุมชน
ชีวิตคนชนบท
พระราชดำรัสของสมเด็จพระบรมราชชนกตอนหนึ่ง มีใจความว่า
"ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นเพียงแพทย์ แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย"
ผมเคยคิดว่าผมเข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่แล้ว ผมพบว่าผมไม่ได้เข้าใจความหมายที่ว่านี้จริงๆ จนวันที่ได้ไปเริ่มงานครั้งแรกหลังจบการศึกษาแพทย์ในโรงพยาบาลเล็กๆแห่งหนึ่งในชนบท โรงพยาบาลที่เล็กจนรู้สึกว่าคงไม่ใช่ที่ที่จะเรียนอะไรได้ นอกจากเป็นที่ไปทำงานชดใช้ทุนให้ผ่านไปจนครบ 3 ปี. ผมไปพร้อมกับความคิดที่ว่าใช้ทุนครบจะได้กลับมาเรียนต่อเป็นศัลยแพทย์ตามที่ตนเองตั้งใจไว้
จังหวัดน่าน เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในอ้อมกอดของหุบเขา ไม่ใช่ทางผ่านไปเมืองไหนๆ จึงมีน้อยคนที่จะเข้าไป นอกเสียจากคนที่อยู่ที่นั่น หรือคนที่ต้องการไปเที่ยวธรรมชาติ ผมเริ่มต้นปีแรกของการเป็นแพทย์โดยเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลบ้านหลวง เพียงปีเดียวความก้าวหน้าทางราชการก็มาหาผมเร็วมาก เพราะผมได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เนื่องจากมีหมอคนเดียว อำเภอบ้านหลวงนับเป็นพื้นที่เดินทางลำบาก ไม่ค่อยเจริญ แต่น่าสนใจที่ว่า ความลำบากสำหรับคนหนุ่มกลับเป็นความท้าทายว่าผมจะอยู่ได้หรือเปล่า
ในแต่ละวันของการตรวจที่ผ่านไป ผมรู้ว่าผมใช้วิชาแพทย์ที่เรียนมาจากโรงเรียนแพทย์ไม่มากนัก เพราะความเจ็บป่วยที่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ผมได้เรียนรู้ชีวิตผู้คนมากมาย ผ่านการตรวจรักษาในแต่ละวัน หลายชีวิตที่เหมือนตัวละครที่ไหลผ่านเข้ามา แต่มีชีวิตคนคนหนึ่งที่อาจไม่มีค่ากับใคร แต่อยากจะยกไว้มาเล่าสู่กันฟัง คือชีวิตของลุงแดง
ผมพบลุงแดงครั้งแรกที่ ER เมื่อลุงแดงหอบมากจากโรค Congestive heart failure หลังให้นอนโรงพยาบาลฉีดยาขับปัสสาวะ 3-4 วัน อาการก็ดีขึ้น กลับบ้านได้ ภารกิจของหมอคงหมดแค่นี้ แต่เมื่อผม discharge แล้วนัดให้ลุงแดงมาตรวจอีก 1 เดือน ทุกครั้งที่นัด ลุงแดงก็จะหายใจหอบมาที่ ER ทุกครั้ง ความรู้สึกหนึ่งของผมซึ่งเป็นหมอจบใหม่ก็ คือ ทำไมไม่ดูแลตัวเอง คงจะไม่ได้กินยา หรือไม่ได้ทำตามที่แนะนำห้ามกินเกลือเยอะ แต่เมื่อผมถาม จึงได้ความว่า ทุกครั้งที่ลุงแดงมาตามนัด ต้องเดินมาไกล 7 กิโลเมตรเพราะไม่มีรถโดยสารจากหมู่บ้านมาโรงพยาบาล และไม่มีเงินพอจะเหมารถมา วันที่ผม discharge ลุงแดงกลับบ้าน ผมได้ให้คนขับรถของโรงพยาบาลขับไปส่งลุงแดงที่บ้าน เมื่อไปส่งบ่อยๆ ก็มีคนพูดมาเข้าหูว่าถ้าไปส่งผู้ป่วยที่บ้านอย่างนี้ทุกราย ก็แย่ซิหมอ ผมได้แต่นึกในใจว่า ไม่ใช่ทุกรายหรอก แต่เฉพาะคนที่ลำบากแบบลุงแดง ผมได้รับรู้ชีวิต ของลุงแดงว่า ลุงแดงอยู่กับป้าเบ้าซึ่งขาพิการ ลูกไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วไม่ได้ส่งเงินมาให้ ลุงแดงต้องหาเงินโดยรับจ้างเลี้ยงควายแถวบ้าน มีอยู่มีกินอดมื้อกินมื้อตามอัตภาพ. ส่วนป้าเบ้า แกหกล้มใส่กองไฟ แต่เนื่องจากแผลที่ไม่ได้รักษา ผิวหนังก็เน่า แผลลึกถึงกระดูก จนไม่มีเนื้อปิดกระดูก ทำให้กระดูกเกิด osteomyelitis อีก ผมพยายามจะ refer ป้าเบ้าไปโรงพยาบาลจังหวัด แต่แกก็ไม่ยอมไป ผมก็ทำได้แค่ทำแผลไปเรื่อยๆ เมื่อได้รับรู้ชีวิตลุงแดงและป้าเบ้า ผมก็สะท้อนใจไม่น้อยว่าชีวิตคนเราช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
มีครั้งหนึ่งที่ลุงแดงหายใจหอบมากมาโรงพยาบาล ลุงแดงเล่าว่าเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ลมแรงพัดหลังคาบ้านซึ่งมุงจากปลิวไป ลุงแดงนอนหนาวอยู่ทั้งคืน จนเช้าจึงได้มาโรงพยาบาล ผมได้รวบรวมเงินบริจาคจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหลายๆคน ช่วยเป็นค่าใช้จ่ายมุงหลังคาสังกะสีให้ลุงแดง ภายหลังผมยังได้หาเงินบริจาคซื้อจักรยานให้ลุงแดงใช้สำหรับเวลาที่มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลด้วย
จากการได้เรียนรู้ชีวิตของลุงแดง ทำให้ผมได้คิดว่าคงมีอีกชีวิตคนอีกหลายคนที่ลำบากและถูก ทอดทิ้ง ผมจึงฝากให้พี่พยาบาลช่วยสำรวจว่ามีผู้สูงอายุคนไหนที่ถูกทอดทิ้งบ้าง แล้วผมก็ชวนพยาบาลตระเวนออกไปเยี่ยมให้กำลังใจ เอาอาหารแห้งไปมอบให้ ผมพบว่ามีกว่า 30 ครอบครัวที่ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพังโดยไม่มีลูกหลานมาดูแล แม้ผมจะช่วยเหลืออะไรอีกไม่มาก แต่คงให้กำลังใจได้บ้าง และการไปเยี่ยมบ้านทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตความทุกข์ของผู้คนอีกมาก
ผมทำงานอยู่ที่บ้านหลวง 2 ปี แล้วผมก็ย้ายไปที่โรงพยาบาลทุ่งช้าง ไม่นานผมได้รับทราบจากพยาบาลที่รู้จักกันว่า ลุงแดงเสียชีวิตแล้ว จากโรคที่แกเป็นอยู่ น้ำตาผมคลอเบ้าโดยไม่รู้สึกตัว รู้สึก หวิวๆที่คนที่เคยรู้จักได้จากไป การได้รู้จักลุงแดงและป้าเบ้า ทำให้ผมเปลี่ยนไป จากที่เคยเชื่อในประโยคที่ว่า "อย่าไปให้ปลาเขา แต่สอนให้เขาจับปลา" ผมกลับรู้สึกว่าในสังคมไทยมีคนทุกข์คนยากอีกหลายคนที่ไม่ว่าสอนอย่างไร เขาก็คงจับปลาเองไม่ได้ เป็นเพราะข้อจำกัดของเขาอย่างนั้น
ช่องว่างระหว่างคนในสังคมไทยเริ่มแยกห่างออกไป สังคมเมืองได้รุกล้ำและเบียดเบียนความเป็นชนบท คนรวยมีและใช้ทรัพยากรมาก แต่คนชนบทหลายคนแทบไม่มีจะกิน เราเชื่อและยึดถือในระบบทุนนิยมแบบตะวันตกที่ยึดหลักการแข่งขัน โดยเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ในป่าแอฟริกาว่า "ถ้าไม่มีสิงโตที่คอยไล่กวด จะไม่มีกวางที่วิ่งเร็ว" กวางที่อยู่รอดคือกวางที่วิ่งเร็วที่สุด ส่วนตัวที่พิการก็จะถูกการคัดเลือกพันธุ์ตามธรรมชาติจัดการให้สูญหายไป นั่นคือหลักแห่งการพัฒนาของธรรมชาติ ชีวิตที่ผ่านมาเราถูกปลูกฝังให้เชื่ออย่างนั้น เราต้องแข่งขันตั้งแต่สอบเข้าชั้นประถม และเราก็พบว่าเมื่อคนอื่นคะแนนแย่กว่านั่นคือลำดับของเราจะดีขึ้น ดังนั้นเมื่อมีคนเรียนแย่ ก็เป็นเรื่องของเขา เราเอาตัวให้รอดก็พอ
หมอเองก็อยู่ในสายพานแห่งการผลิตเพื่อมาเป็นเครื่องจักรแห่งการแข่งขัน เราก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกสอนให้เพิกเฉยและทอดทิ้งคนทุกข์คนยากเหล่านั้น และเอาตัวเราให้รอด บางครั้งเราจึงมักดูดายกับความเจ็บป่วยและความทุกข์ของผู้คนที่เข้ามาหาเรา ซึ่งดูเหมือนว่าในแต่ละวันที่ผ่านไปแม้ความรู้แห่งการเป็นหมอเราจะมากขึ้น แต่ความเป็นมนุษย์ของเราอาจจะลดน้อยลงทุกที
หลายครั้งเวลาออกตรวจ OPD ผมจะเห็นเด็กใส่เสื้อนักเรียนสีขมุกขมัว มันช่างแตกต่างกับเสื้อนักเรียนที่ผมเคยเห็นตอนวัยเด็กนัก ผมนึกถึงตัวเองว่าเราโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาได้ใส่เสื้อสีขาวไปโรงเรียน ชีวิตไม่ลำบากนัก อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราแตกต่างกับเด็กเหล่านี้ ทำไมเราจึงมีมาก แล้วคนอื่นถึงมีน้อย ทำไมเราสบาย ในขณะที่อีกหลายคนยังลำบาก จำได้ว่าช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายคำถามว่า คนเรามีชีวิตเพื่ออะไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร เมื่อเห็นภาพเด็กหลายๆคนนี้ได้สัมผัสชีวิตผู้คนในชนบท ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างออก ฤาคนเราจะเกิดมาเพื่อเติมเต็มความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์ขึ้นในทุกๆวันที่ผ่านไป..... การได้ให้ซึ่งกันและกัน การรับรู้ความทุกข์ของผู้คนที่ไหลผ่าน ปล่อยให้ใจได้สัมผัสกับใจ น่าจะเป็นส่วนเติมเต็ม ความเป็นมนุษย์ของเราได้
เมื่อมีญาติหลายคนถามว่าทำไมผมถึงไม่กลับมาทำงานในกรุงเทพฯซึ่งเป็นบ้านเกิด เปิดคลินิกทำงานเอกชน หาเงินให้ได้มากมาก ผมได้แต่ตอบตัวเองในใจว่า ผมเองก็ไม่ต่างจากคนอื่น ตอนที่ผมจบจากโรงเรียนแพทย์ เคยอยากทำงานเอกชนหารายได้มากๆ ลึกๆในใจอยากซื้อรถบีเอ็มดับบลิวมาขับบ้างว่าจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อผมได้พบลุงแดง พบชีวิตของผู้คนในชนบท ผมก็พบว่าผมได้พบคำตอบสำหรับคำถามของผมด้วย รายได้ดูจะสำคัญน้อยกว่าการเติมเต็มความเป็นมนุษย์ในตัวของเรา และทำให้ผมได้เข้าใจความหมายของคำพูดที่ว่า
"ถ้าเราได้เห็นคนที่เขามีมากกว่าเรา
เราจะอิจฉา....อยากมีอย่างเขา
แต่ถ้าเราได้เห็นคนที่เขาลำบาก
ความอยากมีอยากได้ก็จะหายไป
เหลือแต่......ความอยากให้"
การไปทำงานในชนบทนอกจากจะได้ค้นพบชีวิตของผู้อื่นแล้ว ยังได้ค้นหาและค้นพบตัวตนของเราที่มีอยู่ภายในว่า ความจริงแล้ว เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีหัวจิตหัวใจ ที่จะมอบสิ่งดีๆให้แก่กัน โดยไม่ไหลตามไปกับกระแสทุนนิยมที่เชี่ยวกราก
พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
ทีมงานวิชาการชมรมแพทย์ชนบท
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้