เวลาของการใช้ทุนของแพทย์เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตแพทย์..... บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการไปใช้ทุนในชนบทของนักศึกษาแพทย์ และเป็นกำลังใจแก่แพทย์จบใหม่ที่กำลังทำงานอย่างหนัก ในโรงพยาบาลชุมชน
ทุกข์ในกรง
เนื่องในวันที่ 5 ธันวาคม 2550
ในวโรกาสครบรอบ 80 ปี พ่อหลวงของคนไทย
ขอเป็นกำลังใจให้แพทย์ทุกคนที่กำลังทำงานอย่างหนัก
ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีน้องหมอแพทย์ใช้ทุนหลายคนเคยบ่นให้ฟังว่า ทำไมหมอต้องเป็นผู้อำนวยการด้วย ต้องทำงานบริหาร ทั้งที่อยากทำงานรักษาอย่างเดียว. ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน แต่เมื่อเป็นหมออยู่คนเดียวก็ต้องเป็น และไม่เคยเห็นประโยชน์ของการเป็นผู้อำนวยการ...... จนผมได้มารักษาสมพิศ.
วันที่ผมรู้จักสมพิศ เป็นวันที่ผมรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายอย่างประหลาดกับภารกิจใหม่ที่ ได้รับมอบหมายหลังจากเป็นผู้อำนวยการไม่ถึง 1 เดือน เพราะได้รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ไปรับ คนป่วยมารักษา.
"หมอช่วยไปดูคนไข้หน่อยนะ หมอเห็นหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวไหม ที่ว่า พ่อสุดโหดขังกรงลูก ปล่อยเป็นชีเปลือย กินถ่ายในกรง ผู้ว่าฯ ท่านสั่งมาให้ทางอำเภอและทางโรงพยาบาลช่วยไปดูหน่อย เดี๋ยวจะโดนว่า ว่าทางการไม่ดูแล" นายอำเภอ กล่าวด้วยความกังวล.
ผมรับคำโดยไม่ลังเล ด้วยความคิดว่า อยากเห็นเหมือนกันว่าชีเปลือยเป็นอย่างไร แล้วทำไมพ่อจึงต้องขังกรงลูกด้วย ทำไมจึงโหดผิดมนุษย์มนากันนัก.
หลังจากกลับมาถึงโรงพยาบาลบ้านหลวง ผมบอกให้พยาบาลแจ้งคนขับรถแล้วนัดกับเจ้าหน้าที่ของอำเภอไปพร้อมๆกันจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาในคราวเดียว. ผ่านไปไม่เกินครึ่งชั่วโมง รถขับผ่านถนนลาดยาง แล้วต่อด้วยทางลูกรังดินแดง จนปลายหมู่บ้าน ก็เลี้ยวเข้าไปจอดที่บ้านไม้หลังเล็กๆดูแข็งแรงแต่ค่อนข้างเก่า. ผมรีบโดดลงไปเพื่อเข้าไปทักทายเจ้าของบ้าน แล้วผมก็ต้องผงะกับกลิ่นเหม็นเน่าราวกับสุนัขตาย แล้วในแวบนั้นผมก็พบกับสมพิศ. เมื่อมองผ่านไม้ท่อนเท่าแขน ผมพบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับไม่อนาทรร้อนใจต่อเรื่องใดๆ. ทั้งเนื้อทั้งตัวสมพิศไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว ผมยาวเกือบถึงพื้น หนวดเครายาวจนพอจะรู้ว่าคงนานไม่น้อยกว่า 6 เดือนแล้วมั้งที่ไม่ได้โกนหนวด พอพอกับกลิ่นเหม็นที่บอกถึงเวลานานแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ.
กรงขนาด 4 เมตรคูณ 4 เมตรที่อยู่ใต้ถุนบ้านนั้นแคบไปถนัด เมื่อเห็นถึงเศษอุจจาระและอาหารที่กระจัดกระจายอยู่ในกรง.
"ขังกันเหมือนลิงเหมือนค่างเลยนะ" ปลัดอำเภอที่มาถึงพร้อมๆกันบ่น.
ชายวัยชราคนหนึ่งซึ่งดูสีหน้าจะเปลี่ยนไป เล็กน้อย เดินเข้ามาทักพร้อมยกมือไหว้ "สวัสดีครับคุณหมอ คุณหมอจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมไม่ไหวแล้วไม่เอาแล้ว มันทั้งดื้อ ทั้งทำร้ายคนในหมู่บ้านตั้งหลายคน ทุบหม้อแปลงไฟฟ้าจนไฟดับทั้งหมู่บ้าน ผู้ใหญ่ต๊ะมาบอกให้ผมต้องรับผิดชอบจ่ายเงินชดเชย ผมล่ะจนปัญญาจริงๆ จึงต้องขังมันไว้ ไม่งั้นเอาไม่อยู่จริงๆ". ชายชราที่ผมทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นพ่อของสมพิศ บ่นด้วยความทุกข์ใจ เพราะทราบจากอาสาสมัครประจำหมู่บ้านแล้วว่าหมอจากโรงพยาบาลบ้านหลวงจะมารับลูกไปรักษา.
กว่าจะพาสมพิศมาถึงโรงพยาบาลได้ต้องฉีดยานอนหลับไปหลายเข็ม เพราะว่าสมพิศทั้งดิ้นและทุบ ตีคนที่พยายามพาขึ้นรถ. คงเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพาไปไหน หรืออาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้. ก่อนออกมาจากบ้านสมพิศ พ่อสมพิศบอกว่า "ผมตามหมอไปดูแลสมพิศที่โรงพยาบาลไม่ได้นะ เพราะผมต้องทำงาน ไม่งั้นไม่มีกิน แล้วอีก 2 วันผมจะไปเยี่ยมมันอีกที". ถ้าเป็นคนไข้คนอื่นผมคงจะต่อรองกับญาติผู้ป่วยว่าถ้าญาติไม่มา เราก็ไม่รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล. แต่กรณีสมพิศนั้น ผมคิดว่ายากที่จะชักจูงพ่อให้ไปดูแลได้ เพราะดูจากท่าทีของพ่อแล้ว เหมือนจะเบื่อหน่ายกับสมพิศที่เป็นโรคนี้มานานกว่า 5 ปี ซึ่งผมทราบ ในช่วงที่ซักประวัติว่า สมพิศป่วยมา 5 ปีแล้ว ไปรักษามาหลายแห่ง พออาการดี กลับมาก็ไม่ยอมกินยา จนมีอาการอีก. ในที่สุดพ่อขายวัวที่บ้านเพื่อเหมารถพาไปโรงพยาบาลสวนปรุง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจิตเวช ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ กลับมาก็ยังมีอาการกลับมาอีกอยู่ดี. ผมจึงเห็นใจพ่อสมพิศ ไม่น้อยกว่าตัวสมพิศเอง. เมื่อผมมองแววตาและสีหน้าของพ่อสมพิศแล้ว ผมจึงได้คิดว่าบางครั้งทุกข์ของคนที่อยู่นอกกรงนั้น อาจจะมากกว่าคนในกรงด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนสมพิศ จะไม่อาทรร้อนใจกับการอยู่ในกรงเท่าใดนัก.
โรงพยาบาลบ้านหลวงซึ่งผมทำงานอยู่เป็น โรงพยาบาลขนาดเล็กมีเตียงสำหรับผู้ป่วยจำนวน 10 เตียง ไม่มีห้องแยก มีแต่ห้องพิเศษ ซึ่งใช้ห้องเก็บของเก่าปรับปรุงให้สามารถ รับผู้ป่วยที่เป็นข้าราชการมานอนพัก ซึ่งรายรับที่ได้จากข้าราชการเบิกได้นั้นเป็นเงิน ส่วนสำคัญที่นำมาพัฒนาโรงพยาบาลได้. เป็นเวลาที่ท้าทายสำหรับการเป็นผู้อำนวยการว่า ผมจะให้สมพิศอยู่ในห้องพิเศษซึ่งมีเพียงห้องเดียวนั้นเพื่อควบคุมอาการคลุ้ม คลั่งและจะทำให้ไม่มีห้องพิเศษสำหรับหารายรับเข้าโรงพยาบาล หรือจะให้สมพิศนอน ปะปนกับผู้ป่วยอื่น ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความ วุ่นวาย และพาลทำให้ผู้ป่วยอื่นๆซึ่งอาจมีอาการรุนแรงไม่ได้พักผ่อนจนโรคกำเริบได้.
ผมจำคำพูดที่ อาจารย์บุญยงค์ วงค์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ได้พูดให้ผมฟัง ในช่วงแรกที่ผมมาทำงานจังหวัดน่านใหม่ๆ "เรา เป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคน ถ้าเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยแล้ว ให้ลืมเรื่องเงินทองไว้ก่อน ไม่ว่าเขาจะมีเงินหรือไม่มีเงินเราต้องรักษาเขาอย่างดีที่สุด ถ้าจำเป็นต้องให้ฟรีก็ให้ฟรีไป". คำพูดนี้ให้คำตอบกับผมว่า เราเป็นหมอ ตอนนี้ต้องลืมตำแหน่งผู้อำนวยการก่อน. รายได้ของโรงพยาบาล จะมีมากหรือน้อย ก็คงต้องไปแก้ภายหลัง. ผมจึงสั่งให้สมพิศนอนในห้องพิเศษ. แล้วก็เป็นดังที่ผมคาด สมพิศดิ้นและพยายามหนีจนพยาบาลต้องมัดไว้กับเตียง เนื่องจากห้องพิเศษนั้นอยู่ติดกับห้องผู้ป่วยในรวม. เสียงสมพิศร้องโวยวายจึงรบกวนผู้ป่วยคนอื่นไม่น้อย แต่ก็คงยังดีกว่านอนที่ห้องเดียวกัน. ผมพยายามใช้ยาฉีดหลายชนิด ทั้งยารักษาโรคจิตเภทและยานอน หลับ กว่าจะให้จนสมพิศสงบได้ก็เล่นเอาพยาบาลหลายคนเหนื่อยที่ต้องพยายามฉีดยาสมพิศที่ดิ้นตลอดเวลา.
เช้าวันต่อมา ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปตรวจที่ห้องสมพิศ พยาบาลได้ยื่นผ้าปิดจมูกให้ผมพร้อมกับบอกว่าหมอใส่ก่อนเถอะ เหม็นมาก. พอผมเข้าไปถึง ก็พบว่าสมพิศแก้ผ้าที่มัดมือไว้ นั่งยิ้มอยู่ที่เตียง บริเวณผนังห้องข้างเตียง มีรอยสีเหลืองลากเป็นเส้น. บางส่วนคล้ายๆเป็นรูปร่างนกหรืออาจจะเป็นรูปคน. กลิ่น และสีของรอยสีเหลืองนั้นบวกกับของเหลวสีเหลืองที่เตียงใกล้ตัวสมพิศทำให้ผมรู้ว่านั่นเป็นอุจจาระของสมพิศ. พยาบาลทำหน้าเหยเก พร้อมกับบ่นว่าหมอไม่น่าให้นอนในห้องพิเศษเลย ไม่รู้จะใช้ห้องนี้เป็นห้องพิเศษได้อีกหรือเปล่า. ผมบอกพยาบาลให้แจ้งคนงานมาทำความสะอาด แล้วลองพูดคุยกับสมพิศ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่ผมพูดนัก. บางครั้งก็บ่นพึมพำคนเดียว ผมสั่งยาเพิ่มแล้วเดินออกมาดูคนอื่นต่อ.
เช้าอีกวัน ผมเตรียมใจเข้าไปพบกับกลิ่นและสีแปลกๆที่ห้องสมพิศอีก แต่วันนี้ไม่มีกลิ่นพิเศษ คงเป็นเพราะวันนี้ยังไม่ถ่ายอุจจาระก็เป็นได้. วันนี้สมพิศอาการดีขึ้นจนผมแปลกใจ ไม่มีลักษณะโวยวาย หรือดิ้นแต่อย่างใด. ผมพยายามพูดคุย ก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องเป็นบางครั้ง. ผมเริ่มดีใจกับการรักษา จนทำให้รู้สึกว่างานของผมใกล้จะเสร็จแล้ว สมพิศร้องขอให้เอาผ้ามัดมือออก เขาชี้ที่มือแล้วบ่นว่าเจ็บ. ผมบอกให้พยาบาลเอาผ้ามัดมือออก แล้วกำชับว่าถ้าดิ้นอีกค่อยมัดใหม่.
3 วันผ่านไปกับการรักษาด้วยยาฉีด ผมเข้าไปในห้องสมพิศ ดูเหมือนสมพิศจะอาการดีขึ้น นั่งยิ้มอยู่. ผมเข้าไปคุยอาการตามปกติ สมพิศยิ้มแล้วชี้ที่รูปดอกไม้ที่ใส่กรอบแขวนไว้ใกล้ๆเตียง. ผมก็บอกว่าสวยหรือ สมพิศบอกสวยๆ แล้วชี้อีกหลายครั้ง. ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมสมพิศจึงชี้หลายครั้ง ผมจึงถามว่า "ทำไมหรือ" "เอาออก" สมพิศกล่าว. ผมหยิบรูปนั้นออก แล้วผมก็ถึงเข้าใจว่าทำไมต้องให้เอาออก เพราะผมเห็นลายเขียนเป็นรูปคล้ายอวัยวะเพศชาย ลายเส้นเป็นสีแดงคล้ายเลือด. ผมมองที่นิ้วสมพิศ จึงเห็นนิ้วชี้มีผ้ากอซปิดไว้ แล้วพยาบาลที่ยืนข้างๆก็รายงานว่าเมื่อวานเห็นนิ้วมีเลือดออก และมีแผลคล้ายรอยฟันกัด รวมทั้งเมื่อวานพยาบาลที่อยู่เวรก็บอกว่าสมพิศ ถอดกางเกงโชว์อวัยวะเพศให้ดู จนพยาบาลที่อยู่เวรบ่นไม่พอใจกันหลายคน. ผมจึงรู้ว่างานนี้คงต้องรักษากันอีกนานแน่.
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีก 2 สัปดาห์กับการแก้ปัญหาไปวันๆ ตามปัญหาที่เกิด บวกกับยาฉีดที่ให้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง. สมพิศเริ่มพูดคุยกับผมรู้เรื่อง ผมคิดว่าคงไม่อาละวาดแล้ว แต่อาจจะไม่สามารถไปทำงานทำการอะไรได้. ผมจึงคิดว่าน่าจะให้กลับบ้านได้โดยทานยาต่อเนื่อง. ผมจึงให้พยาบาลตามพ่อสมพิศมาคุยเพื่อรับกลับบ้าน. ตอนบ่ายเมื่อพ่อสมพิศมาถึง ผมกลับได้รับคำตอบว่า "ผมเอากลับไปมันก็เป็นมาอีกแหละ ผมไม่เอาแล้ว ผมจะฝากหมอไว้ที่นี่แหละ ถ้าเอากลับไป ผมก็ต้องขังมันไว้แหละ ใครจะไปดูมันได้ทั้งวัน ผมต้องทำงาน ไม่งั้นผมจะเอาอะไรกิน" พ่อสมพิศบอก. "พ่อก็ต้องค่อยๆดูแลเขา จะให้หมอรับมาดูแลได้อย่างไร เดี๋ยวเขาก็ค่อยๆดีขึ้น ให้ยากินทุกวันก็ดีเอง" ผมตอบด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ญาติจะไม่รับผิดชอบอะไรเลย. แต่หลังจากคุยกันอยู่นานครึ่งชั่วโมง ผมก็รู้ว่าถ้าผมยังยืนยันให้สมพิศกลับไป สมพิศคงต้องเข้าไปอยู่ในกรงขังอีก แล้วผมคงต้องเดินไปที่กรงพร้อมปลัดอำเภอ เพื่อนำสมพิศมาอีกครั้งเมื่อเรื่องของสมพิศกลับไปขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อีกครั้ง.
วันนั้นผมได้แจ้งให้เภสัชกรช่วยหายารักษาโรคจิตเภท ซึ่งฉีดแล้วออกฤทธิ์นานถึง 3 สัปดาห์. ผมจำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ผมเคยเห็นอาจารย์สั่งยาชนิดนี้มาใช้. เภสัชกรแจ้งว่ายานี้ไม่ได้อยู่ในบัญชียาโรงพยาบาล หมอจะให้ยืมจากโรงพยาบาลจังหวัดมาใช้ชั่วคราว หรือนำเข้ามาในบัญชียาโรงพยาบาลเลย ผมจึงบอกให้นำเข้าบัญชียาโรงพยาบาลเลย. บ่ายวันนั้นพยาบาลที่ห้องผู้ป่วยในบอกผมว่า ถ้าให้สมพิศอยู่ห้องพิเศษต่อ คนไข้ที่เป็นข้าราชการซึ่งป่วยแล้วอยากนอนห้องพิเศษก็จะไม่ได้นอน ต้องขอไปนอนที่โรงพยาบาลจังหวัด แล้วโรงพยาบาลก็ขาดรายได้ด้วย. ในขณะนั้นเงินบำรุงโรงพยาบาลมีอยู่ประมาณสองแสนบาท แต่รายจ่ายซึ่งเป็นค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวและค่าอยู่เวรของเจ้าหน้าที่ เดือนหนึ่งก็เกือบหนึ่งแสนบาท ซึ่งเราสามารถหารายรับมาช่วยเหลือในแต่ละเดือนจากห้องพิเศษ เดือนละ 3-4 หมื่นบาท ทำให้มีความจำเป็นต้องให้สมพิศออกจากห้องพิเศษ. แต่ถ้าให้อยู่ห้องผู้ป่วยรวม ก็ยังเกรงว่าสมพิศอาจจะรบกวนผู้ป่วยคนอื่นได้ถ้าอาการกำเริบ.
ผมจึงเดินไปปรึกษาหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปว่าจะทำอย่างไรดี. 3 วันถัดมา ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนงานหลายคน ผมก็เห็นกระต๊อบเล็กๆที่ทำด้วยไม้ไผ่และใบจาก ซึ่งตัดมาจากป่าใกล้ๆบ้านของคนงานซึ่งอยู่ละแวกนั้น สมพิศได้อยู่ในกระต๊อบนั้นและพยาบาลก็นำยาไปให้ที่นั่นทุกวัน. โรงครัวก็ทำกับข้าวผู้ป่วยไปส่งให้ที่นั่น. ผมได้ไปตรวจผู้ป่วยตอนเช้า หรือที่เรียกกันว่าราวด์ผู้ป่วย ที่กระต๊อบนั้น. ได้ความรู้สึกแปลกปนภาคภูมิใจที่คนในโรงพยาบาลได้ร่วมกันทำขึ้นให้กับผู้ป่วยโดยที่ไม่ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว.
รูปกระต๊อบที่เจ้าหน้าที่ร่วมกันสร้างให้สมพิศอยู่
เมื่อยาที่สั่งมาถึงในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ผมได้สั่งฉีดยาให้สมพิศทุก 2 สัปดาห์แทนการกินยา และสมพิศก็ดีวันดีคืน เพราะตอนเช้าผมเห็นสมพิศเดินถือไม้กวาด กวาดใบไม้ที่หล่นรอบๆโรงพยาบาล. คนสวน มาแจ้งให้ผมทราบภายหลังว่า สมพิศอยากช่วยทำ และเขาก็เห็นว่าสมพิศอยู่ว่างๆน่าจะทำได้. ตอนแรกผมก็รู้สึกว่า เราไปใช้ให้คนไข้ทำงานในโรงพยาบาลจะดีหรือ แต่เมื่อนึกถึงสมัยที่เรียนจิตเวช จำได้ว่ามีการรักษาที่เรียกว่าอาชีวบำบัด ผมจึงปล่อยให้สมพิศทำต่อไป.
จนครบ 3 เดือนนับจากวันที่สมพิศมาถึงโรงพยาบาล. คนสวนบอกผมว่า เห็นใจสมพิศ อยากให้หาเงินมาให้สมพิศเป็นค่าตอบแทนที่ทำงาน เพราะทุกวันนี้สมพิศทั้งกวาดใบไม้ ช่วยตัดแต่งต้นไม้ ช่วยยก ของ. และยังไปช่วยช่างไม้ของโรงพยาบาลซ่อมแซมและประกอบโต๊ะ เก้าอี้ของโรงพยาบาลด้วย. ผมได้นำเรื่องนี้เข้าหารือกับคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนก็ได้เห็นชอบให้นำเงินสวัสดิการของโรงพยาบาลจ่ายเป็นค่าจ้างให้สมพิศเดือนละ 300 บาท.
ตอนหลังผมไม่ค่อยได้ไปราวด์สมพิศมากว่า 1 เดือนแล้ว. เมื่อเดินสวนกับสมพิศในตอนเช้า สมพิศเอาเสื้อใหม่มาอวด บอกว่าเอาเงินที่โรงพยาบาลให้ไปซื้อเสื้อใหม่จากตลาด. รอยยิ้มของสมพิศในวันนั้นทำให้ผมปลื้มใจกับการรักษาที่เป็นความร่วมมือร่วมใจ ของทุกคนอย่างยิ่ง.
อีก 1 เดือนถัดมาสมพิศเดินมาหาผมที่ห้องตรวจ หลังจากที่ผมตรวจรักษาผู้ป่วยหมดแล้วในช่วงเช้าวันนั้น "ผมจะมาขอหมอครับ ว่าจะขอไปทำงานกับพี่ชายที่เชียงใหม่ ตอนนี้ผมอาการดีแล้ว ผมจะฉีดยาตลอด ขอให้หมอเขียนชื่อยาให้ผมด้วย. ผมอยากไปทำงานครับ แต่ยังกลัวว่าหมอจะไม่อนุญาต" สมพิศพูดด้วยสายตาวิงวอน. "ไปเถอะ อย่าลืมฉีดยาล่ะ ห้ามลืมเด็ดขาด ผมยินดีด้วยที่สมพิศหายดีแล้วอยากออกไปทำงาน" ผมกล่าวด้วยความชื่นชม. ผมไม่ลืมที่จะเดินไปแจ้งพยาบาลที่ห้องผู้ป่วยในว่า ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของสมพิศไม่ต้องคิดเงิน เพราะใน ช่วงนั้นยังไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสมพิศก็ไม่มีบัตรสงเคราะห์การรักษาพยาบาล ที่จะทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล.
วันที่สมพิศมาลาเพื่อออกเดินทางไปเชียงใหม่ กับพี่ชายซึ่งมารับไป. ผมยังจำคำพูดวันนั้นได้ดี "หมอครับ ผมเป็นผู้เป็นคนมาทุกวันนี้ได้ ก็เพราะหมอครับ ขอบคุณหมอและทุกคนในโรงพยาบาลด้วย ผมจะไม่ลืมตลอดชีวิต" แววตาในวันนั้น ทำให้ผมตื้นตันและดีใจด้วยกับสมพิศ.
ผมดีใจที่ความพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับงานที่เรารับผิดชอบ สามารถช่วยคนคนหนึ่งให้มีความสุขได้. ผมชักชอบการเป็นผู้อำนวยการ เพราะมีอำนาจมาก แต่ไม่ใช่อำนาจที่จะสั่งการ ให้คุณ ให้โทษใคร แต่เป็นอำนาจที่จะให้ .....อำนาจที่จะมอบโอกาสให้แก่คนทุกข์คนยาก. อำนาจที่ให้การรักษาฟรีโดยไม่คิดสตางค์แม้ว่าคนนั้นจะไม่มีสิทธิบัตรใดๆก็ตาม.
สมพิศได้สอนให้รู้ว่า ทุกข์ในกรงซึ่งไม่ว่าจะทำด้วยเหล็กหรือไม้ อาจจะไม่ทำให้คนคนหนึ่งทรมานเท่า ทุกข์ที่เกิดจากกรงของจิตใจ. สมพิศถูกขังอยู่ในกรงของจิตใจมานานกว่า 5 ปี การไม่รับรู้ไม่ได้แปลว่าไม่ทุกข์. ถ้าถามตัวเราเองว่าแขนขาขาด กับจิตใจที่ขาดหายไป ถ้าเราต้องเลือกให้ขาดไปอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าเราคงไม่เลือกที่จะขาดจิตใจไป. แพทย์พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เป็นบุคคลสำคัญที่จะปลดปล่อย คนที่กำลังถูกขังในกรงแห่งจิตใจที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ.
ถึงวันนี้ผ่านไป 12 ปี หลังจากผมย้ายมาจากที่นั่น เมื่อผมโทรไปถามพยาบาลที่สนิทกันที่โรงพยาบาล บ้านหลวง ผมดีใจที่ได้รับคำตอบว่าทุกวันนี้ สมพิศยังมีอาการปกติดีและทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทยนี้. แววตาและคำพูดในวันที่สมพิศลากลับบ้าน ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไปตราบใดที่ยังเป็นข้า-ราชะ-การ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคิดว่างานตามหน้าที่ของพวกเราเทียบได้เพียงธุลีของงานที่พระองค์ทรงเหน็ด เหนื่อยเพื่อคนไทยทุกคนในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา.....ขอพระองค์ทรงพระเจริญ.
ขอเชิญชวน อาจารย์ พี่ๆน้องๆ เขียนเล่าประสบการณ์ในช่วงทำงานใช้ทุนในชนบท เพื่อแบ่งปันให้น้องๆที่กำลังจะออกไปใช้ทุนครับ หรือข้อความสั้นเป็นกำลังใจให้น้องๆแพทย์ใช้ทุนที่ยังทำงานอยู่ในขณะนี้ กรุณาส่งมาที่ Email : [email protected] เพื่อนำมาลงในบทความนี้ครับ...ขอบคุณล่วงหน้าครับ
พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท
- อ่าน 2,089 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้