ตามรอยพระราชปณิธาน.....สืบสานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว.
ขอเขียนบทความเพื่อถวายแด่สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย พวกเราแพทย์ทุกคนจะน้อมนำพระราชปณิธาน เพื่อดำเนินการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ต่อไป เพื่อประชาชนไทยใต้เบื้องบาทของพระองค์
ระลึกย้อนถึงเดือนแรกของการเป็นแพทย์ใช้ทุนที่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลน่านเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับพี่ๆในโรงพยาบาลจังหวัด เพราะสมัยนั้นยังไม่มีระบบอินเทิร์น. พี่หมอคนหนึ่งซึ่งพวกเราสามารถเรียกว่า "พี่คณิต" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ โดยไม่เคยเรียกว่า "ท่านผู้อำนวยการ" เลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้ชวนผมและเพื่อนๆไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว. (หน่วยแพทย์เคลื่อนที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ครั้งแรกสำหรับการทำงานที่นั่น. เส้นทางสู่อำเภอนาน้อยคดเคี้ยวน่าเวียนหัวไม่น้อย แต่พี่คณิตก็พาลูก 2 คนไปด้วย เนื่องจากเป็นวันหยุดและเหมือนอยากจะ ให้ลูกๆได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ในระหว่างทางไปรถพวกเราติดหล่ม ต้องช่วยกันเข็นรถและใช้ไม้งัด. หลังจากเข็นจนขึ้นมาได้เสื้อผ้าของพวกเราก็เปื้อนไปด้วยโคลน แต่ทุกคนก็รู้สึกสนุกเพราะเหมือนเป็นการผจญภัยเล็กๆในการเริ่มต้นของ.....ชีวิตการเป็นแพทย์.
เมื่อถึงหมู่บ้าน มีผู้ป่วยมารออยู่ประมาณ 50-60 คน ส่วนใหญ่มีอาการไม่หนักมากนัก. ผู้ป่วยหลายคนที่มาตรวจไม่ว่าจะมาด้วยโรคอะไร จะขอแถมยาถ่ายพยาธิด้วยกันทั้งนั้น. โดยเฉพาะแม่ที่พาเด็กมาตรวจด้วยโรคหวัด แรกๆผมก็ไม่อยากให้ยาเพราะผิดจากตำรา จึงบอกว่าต้องไปตรวจอุจจาระที่โรงพยาบาลก่อน เจอพยาธิอะไรผมจึงจะให้. เมื่อพูดเสร็จแล้ว ผมก็นึกได้ว่าคงไม่มีใครไปหรอกเพราะระยะทางไกลขนาดนี้ ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ไปเพื่อเอายาถ่ายพยาธิหรอก. เมื่อผมก้มมองเด็กผิวขมุกขมัวไปด้วยฝุ่น และไม่ใส่รองเท้า รูปร่างผอมแห้ง ในที่สุดผมก็จ่ายยาถ่ายพยาธิไปให้ทั้งที่รู้ว่าผมกำลังทำผิดมาตรฐานทางการแพทย์ที่เคยเรียนมาซะแล้ว. เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดผมจึงแนะนำมารดาที่พาเด็กมาว่าควรหารองเท้าให้เด็กใส่เพราะมีพยาธิปากขอ และไม่ควรให้เด็กกินอาหารสุกๆดิบๆ. มาภายหลังผมจึงมาทราบจากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอว่า มีการสำรวจพยาธิต่างๆของเด็กในจังหวัดน่าน พบว่ามีพยาธิถึงร้อยละ 70-80 ผมรู้สึกดีที่ผมไม่ปฏิเสธการให้ยาในครั้งนั้น. การเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาคงทำได้ไม่ง่ายนักสำหรับเรา สิ่งที่เราจะช่วยเขาได้ก็คงมีแค่นี้กระมัง. บางรายก็มีอาการแผลอักเสบบวม เนื่องจากถูกไม้ตำ ไม้บาด แล้วไม่มีความรู้ในการดูแลแผล ผมจึงสั่งยาปฏิชีวนะให้กินพลางๆก่อน เพราะกดดูแล้วไม่เหมือนมีหนอง พร้อมทั้งกำชับว่าถ้าบวมมากขึ้นคงต้องไปผ่าเอาหนองออกที่สถานีอนามัย. ผมแนะนำเขาว่าควรระวังไม่ให้โดนไม้บาดอีก แต่นึกอีกทีในใจว่า ชีวิตที่ต้องทำนาแบบนี้จะหลีกเลี่ยงไม้ตำเท้าได้อย่างไร เขาเองก็คงไม่อยากให้โดนตำหรอกนะ.
หลังจากนั้นพวกเราใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็ตรวจเสร็จ เนื่องจากมีหมอไปกัน 6 คน. เมื่ออิ่มอร่อยกับข้าวกล่องที่นำไปด้วยแล้วเราก็เดินทางกลับ. ระหว่างทางพี่คณิตพาพวกเราไปเที่ยวเล่นน้ำที่แก่งหลวง และเดินขึ้นผาชู้ นับเป็นการใช้วันหยุดที่คุ้มค่าจริงๆ. ผมจำได้ว่าระหว่างทางนั่งรถกลับ พี่คณิตบอกว่า "ผมไม่เคยอยากไปเที่ยวภูเขาที่ไหนเลย เพราะทุกๆครั้งที่ทำงานออกหน่วยก็มีความสุขเหมือนได้ไปเที่ยวทุกครั้ง". ในวันนั้น ภาพแบบอย่างที่ดีของหมอกระเป๋าเขียวได้ประทับลงในใจของผมแล้วโดยไม่รู้ตัว.
เมื่อครบ 1 เดือนสำหรับการทำงานที่โรงพยาบาลจังหวัด ผมได้ย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านหลวงซึ่งในละแวกนั้นมีชนเผ่าผีตองเหลืองอาศัยอยู่. ชนเผ่านี้เป็นชนเผ่าเร่ร่อน จะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆโดยใช้ใบตองทำเป็นหลังคา เมื่อใบตองเริ่มเหลือง แปลว่าอาหารในแถบนั้นก็จะเริ่มร่อยหรอ พวกเขาก็จะออกเดินทางต่อไป ราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่างในโลกกว้างใหญ่ใบนี้. เมื่อมีการทำไร่เพิ่มขึ้น ชาวพื้นเมืองจับจองที่ดิน ถากถางพื้นที่ป่า ทำให้พื้นที่ป่าสำหรับหากินของพวกเขาลดลง ประกอบกับมีชาวพื้นเมืองไปติดต่อให้อาหารและความช่วยเหลือเพื่อแลกกับการให้พวกเขาออกมาแสดงกิจกรรม วัฒนธรรม และการร้องเพลง. เขาจึงเข้ามาใช้ชีวิตแบบคนพื้นเมืองมากขึ้น มีเสื้อผ้าใส่เพื่อปกปิดอวัยวะบางส่วน แต่เวลาส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในป่า และนัดหมายออกมาในบางครั้ง. ครั้งแรกเมื่อมีการติดต่อโดยคนพื้นเมืองให้ผมไปช่วยตรวจคนไข้ชาวผีตองเหลือง เขานัดให้เข้าไปตรวจบริเวณชายป่า เพราะพวกชนเผ่าผีตองเหลืองยังกลัวและระแวงอยู่. ผมรีบตอบรับทันที เพราะรู้สึกสนุกและอยากเรียนรู้ชีวิตของพวกเขา แต่วันที่นัดผมกลับเป็นแผลถลอกที่กระจกตา. แต่ด้วยความที่เป็นหมอคนเดียวและรับปากไว้แล้ว ผมจึงพกยาชาชนิดหยอดตาไปหนึ่งขวดใช้หยอดทุก 10 นาที พร้อมแว่นกันแดดหนึ่งอันเพื่อกันแสบตา.
การใช้ชีวิตแบบพวกเขาที่ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย สำหรับเราแล้วดูไม่ง่ายนัก แต่สำหรับพวกเขาดูเหมือนเป็นสิ่งปกติของชีวิต. ในขณะตรวจผู้ป่วยผมต้องอาศัยล่ามชาวพื้นเมืองแปลให้ฟัง เพราะผมไม่เข้าใจความหมายของภาษาที่พวกเขาพูด. ในวันนั้นผู้ป่วยเด็กคนหนึ่งมีไข้ ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นมาลาเรียหรือไม่ เพราะน่านเป็นดินแดนของมาลาเรีย และพวกเขาก็อยู่ในป่าทุกวัน ผมรู้ว่าไม่มีทางจะพาเธอไปนอนโรงพยาบาลได้แน่. ผมจึงขอเจาะเลือดของเธอไว้ และคิดว่าถ้าเจอเชื้อมาลาเรียจะให้คนนัดหมายเธอออกมา โชคดีที่ผลเลือดปกติหลังจากนำกลับมาแล้ว. ในการตรวจครั้งนั้นสิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ พวกเขาไม่มีรอยยิ้ม ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก หรือพวกเขาจะบอกเป็นนัยๆว่าพวกเขาหวาดระแวงและหวาดกลัว กลัวถูกลุกล้ำเข้าไปในวิถีแห่งวัฒนธรรมของเขา ระแวงว่าวัฒนธรรมของเขาจะถูกกลืนกินด้วยวัฒนธรรมอื่นที่เหนือกว่า กลัวว่าผืนป่าสำหรับหาอาหารจะหมดไป หรือในที่สุดคงกลัวว่าจะไม่มีพวกเขา...ชาวเผ่าผีตองเหลืองอีกต่อไป.
การจัดระบบบริการสาธารณสุขตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการ ไม่ง่ายนักสำหรับชนเผ่าผีตองเหลือง. ผมไม่รู้หรอกว่าการให้ยาแผนปัจจุบันใส่ซองพลาสติกทาน 3 เวลาหลังอาหาร เหมาะสมกับวิถีชีวิตของเขามากกว่าการกินใบไม้ใบหญ้าเป็นสมุนไพรเพื่อรักษาโรคแบบในอดีตหรือไม่ ไม่รู้ว่าแต่เดิมมีการเสียชีวิตด้วยโรคที่รักษาได้โดยยาแผนปัจจุบันไปเท่าไหร่. สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือหน้าที่ของผมคือ การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ออกไปเพื่อช่วยเหลือเขา เท่าที่เขาจะต้องการ และอยากให้เราไป.
ผมเคยได้พูดคุยกับน้องๆแพทย์หลายคนเรื่องของออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่. แพทย์หลายคนรู้สึกว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ เป็นเรื่องน่าเบื่อเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นหวัด ปวดหลัง มาเอายาถ่ายพยาธิ เป็น การเจ็บป่วยที่ไม่ต้องมาตรวจก็ได้. แน่นอนว่าจากมองในมุมของแพทย์แล้ว โรคเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าสนใจ ไม่ซับซ้อนเหมือนการผ่าตัดหรือการดูแลด้วยเครื่องมือไฮเทคโนโลยี. แต่จากมุมของชาวบ้านในที่นั่น การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำคัญ เขาไม่ต้องเดินทางไปไกล. อาจมีผู้ด้อยโอกาสบางคนที่อยู่ที่นั่น ที่ไม่มีเงินเพียงพอ สำหรับการเดินทางออกมาถึงสถานบริการ. สำหรับการค้นหาเพียงหนึ่งคนที่ทุกข์ยากนั้น น่าจะเป็นความสำคัญ สำหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่จะเคลื่อนที่ ไปหาเขาด้วยหัวใจแห่งการบริการ...... หัวใจแห่งความเป็นมนุษย์.
แม้ว่าจะย้ายไปหลายโรงพยาบาล ผมยังคงมีโอกาสออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว.อีกหลายต่อหลายครั้ง และหลายๆครั้งก็จะนึกถึงคำพูดของพี่คณิตที่ว่า "ทุกครั้งที่ออกหน่วย แม้ต้องเดินทางไกล แต่ก็มีความสุขทุกครั้ง" ราวกับพี่คณิตจะบอกให้รู้ว่า ความสุขของการออกหน่วยพอ.สว. ไม่ได้อยู่เพียงการได้เข็มกลัด หรือใบประกาศนียบัตรพระราชทาน แต่อยู่ที่ได้มีโอกาสดูแลความเจ็บป่วยของคนทุกข์ยากที่อยู่ห่างไกลด้วยความสุขและความภาคภูมิใจในความมีคุณค่าของตัวแพทย์เรา.
พวกเขาชาวเผ่าผีตองเหลืองยังต้องเดินทางค้นหาพื้นที่ที่ดีที่สุดสำหรับดำรงชีวิตของเขาตามรอยบรรพบุรุษต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด. เหมือนกับที่พวกเราชาว แพทย์จะต้องเดินทางค้นหาศรัทธาและอุดมการณ์ แห่งความเป็นแพทย์ที่ดีที่สุดต่อไปตามรอยพระปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนกฯ สมเด็จย่าฯ และที่สุดตามรอยสมเด็จพระพี่นางฯ ที่ทรงเหน็ด เหนื่อยเพื่อวางรากฐานของการแพทย์ และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของประเทศไทย. ขอส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย เชื่อมั่นว่า พวกเราแพทย์ทุกคนพร้อมจะทำงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว. เพื่อดูแลผู้ยากไร้ตลอดไปด้วยความศรัทธาในพระราชปณิธานของพระองค์ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ.
เวลาของการใช้ทุนของแพทย์เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตแพทย์..... บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการไปใช้ทุนในชนบทของนักศึกษาแพทย์ และเป็นกำลังใจแก่แพทย์จบใหม่ที่กำลังทำงานอย่างหนักในโรงพยาบาลชุมชน
พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพททย์ชนบท
- อ่าน 2,060 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้